กลยุทธ์ลงทุนทองคำช่วงเทศกาลตรุษจีนปีเสือทอง

โดย วรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด
3 Min Read
28 มกราคม 2565
3.292k views
Inv_กลยุทธ์ลงทุนทองคำช่วงเทศกาลตรุษจีนปีเสือทอง_Thumbnail
Highlights

ช่วงเทศกาลตรุษจีน ทองคำถือเป็นของขวัญล้ำค่า จึงมีการซื้อเป็นของขวัญให้แก่กันเพื่อเสริมสิริมงคล ทำให้ความต้องการทองคำคึกคัก เช่นเดียวกับเมื่อเกิดสถานการณ์ตึงเครียด เช่น เกิดความขัดแย้งทางการเมือง การประท้วง หรือสงคราม ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่ผู้คนต้องการซื้อเพิ่มสูงขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และช่วงต้นปี 2565 ในช่วงเทศกาลตรุษจีนก็มีสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ดังนั้น การตัดสินใจซื้อทองคำเพื่อลงทุนหรือเก็งกำไรจึงต้องวางกลยุทธ์ให้รอบคอบและติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด

ถ้าพูดถึงราคาทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีน ทุกคนประเมินว่าราคาจะปรับขึ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่ามีการเร่งซื้อทองคำเพื่อเป็นของขวัญหรือเมื่อได้รับอั่งเปาก็จะนำเงินไปซื้อทองคำมาเก็บเอาไว้ ซึ่งถ้าดูสถิติราคาทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีนก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 (ปี 2558 – 2562) พบว่าตลาดทองคำมีความคึกคักค่อนข้างมาก โดยในช่วงเดือนมกราคม (ก่อนเทศกาลตรุษจีน) ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 4 – 5% และเป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดของปี เช่นเดียวกับปี 2563 ที่โลกเข้าสู่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แล้ว เฉพาะเดือนมกราคมทองคำยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ระดับ 4.7%

 

หากดูสถิติดังกล่าวอาจทำให้หลายคนเข้าซื้อทองคำเพื่อทำกำไรในช่วงเดือนมกราคมของทุกปีก่อนเทศกาลตรุษจีน แต่สถิติได้ถูกทำลายเมื่อเดือนมกราคมปี 2564 หากซื้อทองคำจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 2.7% สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ COVID-19 เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความต้องการทองคำ โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำมากที่สุดในโลก

 

นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เช่น จีนยังคงใช้นโยบาย Zero-Covid คือ ต้องการให้ผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นศูนย์ (0) การใช้มาตรการคุมเข้มการล็อกดาวน์ การตรวจหาเชื้อ COVID-19 และการห้ามประชาชนเดินทางข้ามเขต ถือเป็นปัจจัยลบที่ทำให้ประชาชนจีนชะลอการถือครองทองคำ

 

ที่สำคัญ ก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 พบว่าในช่วงเทศกาลตรุษจีน ผู้คนจะให้อั่งเปา ซองแดง ทั้งในรูปแบบทองคำหรือเงินสด แต่เมื่อสองปีที่ผ่านมา การให้ของขวัญในช่วงเทศกาลตรุษจีนเปลี่ยนแปลงไปเป็นการโอนเงินหรือให้ของขวัญทางออนไลน์เพื่อลดการสัมผัส ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การบริโภคทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีนลดลง จึงประเมินว่าตรุษจีนปีเสือทองนี้การบริโภคทองคำอาจไม่คึกคัก

 

โดยปกติความต้องการซื้อทองคำจะมาก่อนเทศกาลตรุษจีน โดยร้านค้าทองคำหรืออุตสาหกรรมอัญมณีจะซื้อทองคำเพื่อนำไปผลิตสินค้าทองคำในรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงสิ้นปี และส่งมอบให้กับร้านค้าปลีกในช่วงใกล้วันตรุษจีน ขณะเดียวกันตลาดเงิน ตลาดทุน (รวมถึงนักลงทุน เทรดเดอร์ เฮจฟันด์) ในจีนและบางประเทศในเอเชียจะหยุดทำการในช่วงเทศกาลตรุษจีน ดังนั้น ราคาทองคำจะไม่ค่อยขยับมากนักในช่วงตรุษจีน

 

จะว่าไปแล้วหากซื้อทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีนเพื่อเป็นของขวัญให้แก่กัน หรือเพื่อเสริมสิริมงคลสำหรับการดำเนินชีวิตก็คงซื้อได้โดยไม่สนใจว่าราคาทองคำจะอยู่ที่ระดับใด แต่หากสนใจซื้อทองคำเพื่อการลงทุนหรือเก็งกำไรก็ต้องประเมินและวิเคราะห์ให้รอบคอบว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

 

หากดูแนวโน้มหรือทิศทางราคาทองคำในปีเสือทอง ต้องจับตาดูมาตรการจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นสำคัญ เนื่องจากจะมีการเร่งถอนนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในแง่ของการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและลดขนาดงบดุล ซึ่งจะส่งผลกดดันราคาทองคำ แต่ที่ผ่านมาราคาทองคำก็ได้รับรู้ปัจจัยในเชิงลบมาพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ตาม หาก Fed ยังยืนยันว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ อาจทำให้ตลาดตีความว่า Fed อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้ได้ถึง 4 ครั้ง (ไตรมาสละ 1 ครั้ง) ก็จะกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงได้

 

โดยภาพรวม แม้ว่าราคาทองคำจะถูกกดดันจากการคุมเข้มด้านนโยบายการเงินของ Fed ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การเร่งลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการปรับลดขนาดงบดุลของ Fed แต่ราคาทองคำก็ยังมีปัจจัยบวกสนับสนุน ได้แก่

 

  • สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งเริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ล่าสุดสหรัฐอเมริกาเตรียมพิจารณาออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนการแข่งขันด้านการค้าเป็นการตอบโต้จีน โดยคาดว่าอาจจะมีมาตรการในรูปแบบการจัดเก็บภาษี ซึ่งกลับมาเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

 

  • ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย – ยูเครน – สหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตก ซึ่งหากรัสเซียบุกยูเครนก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น หรือกรณีความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ความไม่สงบในคาซัคสถานก็เป็นปัจจัยเร่งให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกปรับขึ้นเช่นกัน เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจะผลักดันให้เกิดเงินเฟ้อได้ในลักษณะของ Cost Push Inflation ดังนั้น หากราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาทองคำก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

 

นอกจากนี้ น้ำมันและทองคำยังอยู่ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะมีการปรับตัวขึ้นสอดคล้องกันในภาวะสงคราม หรือมีความตึงเครียดระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้น เวลาที่นักลงทุนในต่างประเทศซื้อขายน้ำมันก็จะซื้อขายทองคำด้วย แปลว่าราคาทองคำจะได้รับอานิสงส์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเมื่อราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นก็เป็นตัวเร่งให้อัตราเงินเฟ้อปรับขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นสินทรัพย์ในการป้องกันเงินเฟ้อ ซึ่งสังเกตเห็นว่าในช่วงที่มีความวุ่นวายทางการเมือง การประท้วงต่าง ๆ ทำให้ความต้องการทองคำเพิ่มสูงขึ้นเพราะนักลงทุนคาดหวังว่าทองคำจะรักษามูลค่าเอาไว้ได้ ขณะที่สินทรัพย์ลงทุนอื่น ๆ จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความวุ่นวาย

 

  • การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางและกองทุน SPDR Gold Shares (กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในทองคําแท่งโดยตรง และเป็นกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าซื้อทองคำแท่งเพื่อใช้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกองทุนทองคำ SPDR ได้กลับมาซื้อทองคำ หลังจากที่ทำการขายมาตลอดทั้งปี แต่เริ่มกลับเข้าซื้อเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตลาดทองคำ

 

สำหรับในระยะสั้น ประเมินว่าหากราคาทองคำย่อตัวลงมาจะมีแนวรับแรกที่ 1,809 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับถัดไปอยู่บริเวณ 1,778 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยหากราคาทองคำปรับลดลงควรใช้กลยุทธ์ทยอยเข้าซื้อตามแนวรับดังกล่าวด้วยวิธีแบ่งไม้ซื้อ

 

จากนั้นให้ถือเพื่อรอขายทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาทองคำ หากราคาปรับขึ้นก็ใช้วิธีการทยอยขายตามแนวต้านต่าง ๆ โดยในระยะสั้นประเมินว่าแนวต้านจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,863 – 1,902 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาจะปรับขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ในช่วงนั้นอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญหากต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนทองคำ นักลงทุนต้องจับจังหวะราคาทองคำได้อย่างแม่นยำ

 

ทองคำยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าปัจจุบันจะมีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นและเป็นที่นิยมของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลายก็ยังมีความสำคัญ แต่ไม่ว่าจะมีการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์รูปแบบใด พอร์ตการลงทุนที่ดียังต้องมีการลงทุนในทองคำ 5 - 15% ของพอร์ตลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


ปัจจุบัน นอกจากการลงทุนในทองคำแท่งและทองรูปพรรณที่นักลงทุนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ยังมีทางเลือกลงทุนทองคำในรูปแบบอื่นที่น่าสนใจและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เช่น Gold-D ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 99.99% ซึ่งเป็นมาตรฐานในต่างประเทศ ท่านใดที่สนใจลงทุน สามารถเรียนรู้ลักษณะสัญญา ผลตอบแทน ความเสี่ยง และกลยุทธ์การลงทุนใน Gold-D เพื่อทำกำไร หรือซื้อทองคำเป็นสินทรัพย์เสริมสร้างความมั่งคั่งได้ ผ่าน e-Learning หลักสูตร “รอบรู้ลงทุน TFEX Gold-D” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: