ทำความรู้จักตลาดหุ้นสหรัฐฯ

โดย รินรดา นรากรพิจิตร์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย
2 Min Read
5 มีนาคม 2567
3.508k views
TSI_Article_556_Inv_Thumbnail
Highlights

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมประมาณ 55% ของตลาดหุ้นทั่วโลกรวมกัน ดังนั้น การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก อีกทั้งบริษัทระดับโลกส่วนใหญ่ก็มาจดทะเบียนซื้อขายที่นี่ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นที่นิยมและเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นระดับโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นอย่างไร …มาทำความรู้จักกัน

รู้จักตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือคิดเป็นขนาดตลาดราว 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราวครึ่งหนึ่งของขนาดตลาดหุ้นทั้งโลกรวมกัน) ถ้าให้เทียบกับ SET Index ของไทย ทั้งตลาดหุ้นไทยยังไม่ใหญ่เท่ากับหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่บางตัว โดยปัจจุบัน SET Index มีขนาดตลาดราว 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่บริษัทสหรัฐฯ ที่เรารู้จักที่ขนาดตลาดพอ ๆ กับหุ้นทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยรวมกัน เช่น ห้าง Walmart ธนาคาร JP Morgan Chase ส่วนหุ้น Apple มีขนาดตลาดราว 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือใหญ่เป็น 6 เท่าของ SET Index

 

สหรัฐอเมริกา มี 2 ตลาดหุ้นหลักคือ New York Stock Exchange (NYSE) ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีมาก่อน ก่อตั้งในปี 1792 ส่วนตลาด Nasdaq ก่อตั้งเมื่อปี 1971 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้โอกาสหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่สามารถจดทะเบียนได้ในตลาดหลัก มาจดทะเบียนในตลาดนี้ ซึ่งเมื่อก่อนส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเทคโนโลยี แต่ปัจจุบันหุ้นเทคโนโลยีเหล่านั้นกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่ไปแล้ว หรือที่เรารู้จักกันในนามหุ้น 7 นางฟ้า (Magnificent 7) ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้น Apple, Amazon, Alphabet, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla

 

ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ และเป็นที่นิยม ได้แก่ ดัชนี Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq

  • ดัชนี Dow Jones จะนำหุ้นขนาดใหญ่ทั้งในตลาดหุ้น NYSE และ Nasdaq จำนวน 30 ตัวมาคำนวณด้วยวิธี Price Weighted Index คือการนำราคาหุ้นมาคำนวณเป็นดัชนี ดังนั้น หุ้นที่มีราคาสูงจะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีราคาต่ำ ปัจจุบันหุ้น 3 ลำดับแรก ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี ได้แก่ UnitedHealth, Microsoft และ Goldman Sachs

 

  • ดัชนี S&P 500 จะนำหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ 500 ตัวแรกทั้งในตลาดหุ้น NYSE และ Nasdaq มาคำนวณด้วยวิธี Market Capitalization Weighted Index คือการนำเอามูลค่าตลาดของหุ้นมาคำนวณเป็นดัชนี ดังนั้น หุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงจะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีมูลค่าตลาดต่ำ ปัจจุบันหุ้น 3 ลำดับแรก ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี ได้แก่ Microsoft, Apple และ Nvidia

 

  • ดัชนี Nasdaq จะนำหุ้นในตลาดหุ้น Nasdaq มาคำนวณด้วยวิธี Market Capitalization Weighted Index คือการนำเอามูลค่าตลาดของหุ้นมาคำนวณเป็นดัชนี ดังนั้น หุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงจะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีมูลค่าตลาดต่ำ ปัจจุบันหุ้น 3 ลำดับแรก ซึ่งจะส่งผลกับการเคลื่อนไหวของดัชนี ได้แก่ Microsoft, Apple และ Nvidia

 

ความน่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ เนื่องจากมีจำนวนหุ้นจดทะเบียนมากที่สุดในโลก (กว่า 5,000 ตัว เทียบกับตลาดหุ้นไทยที่มีราว 700 ตัว) ดังนั้น จึงมีความหลากหลายของอุตสาหกรรมของบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียน โดยอุตสาหกรรมที่แตกต่างกับตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน ได้แก่

 

  • กลุ่ม Technology ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทผู้คิดค้นหรือเป็นเจ้าของ Software หรือ Platform ระดับโลก ต่างจากหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย ที่ถ้าเราพูดถึงกลุ่มเทคโนโลยี ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่นำ Software ระดับโลกมาติดตั้ง ไม่ใช่ผู้คิดค้น Software นั้น ๆ

 

  • กลุ่ม Pharma / Biotech ประกอบไปด้วยผู้ผลิตยาชั้นนำระดับโลก ซึ่งมีการพัฒนา R&D (Research and Development) คิดค้นยาใหม่ ๆ ด้วยตนเอง และถือสิทธิบัตรยานั้น ๆ ต่างจากกลุ่ม Healthcare ของไทย ซึ่งทำธุรกิจโรงพยาบาล ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ คือจุดขายของตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือมีหุ้นที่เป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ จดทะเบียนอยู่หลากหลายตัว เป็นบริษัทที่คิดค้นสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่โลกนี้ไม่เคยมีมาก่อน

 

ปัจจัยรองอื่น ๆ ที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความน่าสนใจ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่มีเกณฑ์ Floor / Ceiling ซึ่งหุ้นสามารถขึ้นหรือลงได้ไม่จำกัดภายในหนึ่งวัน เทียบกับตลาดอื่นที่มี Floor / Ceiling เช่น ตลาดหุ้นไทย (SET) +/-30% ต่อวัน หรือตลาดหุ้นเวียดนาม (HOSE) +/-7% ต่อวัน เป็นต้น

แนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ด้วยความน่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่กล่าวไปข้างต้น หากนักลงทุนไทยสนใจลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็สามารถลงทุนได้ผ่านหลากหลายช่องทาง กรณีที่ไม่ต้องการยุ่งยากเรื่องการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปิดบัญชีใหม่ และภาษีกำไรจากการลงทุนต่างประเทศโดยตรง จะมีช่องทางให้เลือกลงทุน อาทิ

 

  • กองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ ซื้อได้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในไทย มีให้เลือกทั้งแบบกระจายการลงทุนในหุ้นทั้งตลาดที่ล้อตามดัชนี S&P 500 หรือดัชนี Nasdaq หรือกองทุนตามธีมต่าง ๆ อาทิ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ กลุ่มสุขภาพ เป็นต้น

 

  • DR (Depositary Receipt) เป็นตราสารที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้นหรือ ETF ในต่างประเทศได้ ตามเวลาการเปิดตลาดของหุ้นไทย ซึ่งจะเหมือนกับการซื้อหุ้นไทยรายตัว

 

  • DRx (Fractional Depositary Receipt) เป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมีข้อดีกว่า DR ทั่วไปตรงที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้ตามเวลาของตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ และสามารถซื้อขายเป็นจำนวนเงินบาท หรือ จำนวนหน่วยก็ได้ สามารถซื้อขายผ่านแอปพลิเคชัน Streaming ได้เลย

 

ข้อดีของช่องทางข้างต้นคือ ไม่เสียภาษีกำไรจากการลงทุน (Capital Gain Tax) ต่างจากการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมี DR ทั้งหมด 22 ตัว และมีหนึ่งตัวที่อิงดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แก่ NDX01 ซึ่งลงทุนอ้างอิงดัชนี NASDAQ 100 และ DRx 10 ตัว ซึ่งทั้งหมดเป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และครอบคลุมหุ้น 7 นางฟ้าทุกตัว

 

ถ้านักลงทุนต้องการลงทุนตรง เพื่อจะไม่มีข้อจำกัดด้านความหลากหลายของหุ้นที่โบรกเกอร์ไทยนำมาขายเป็น DR / DRx นักลงทุนไทยก็สามารถเปิดบัญชีตรงกับโบรกเกอร์ไทยที่มีบริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยตรงเช่นนี้จะต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุนด้วย

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะพื้นฐาน ทางเลือกลงทุน และวิธีการลงทุนในต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “มือใหม่หัดลงทุนต่างประเทศ” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ 

 

หรือเรียนรู้ลักษณะพื้นฐาน หลักการเลือกลงทุน และวิธีการลงทุน DRx ในต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “DRx ลงทุนไซซ์เล็ก เพื่อโอกาสใหญ่ในตลาดโลก” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ 

แท็กที่เกี่ยวข้อง: