Netflix ผู้ปฏิวัติการรับชมทีวี

โดย ธีรภัทร เมธานุเคราะห์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง
4 Min Read
4 มีนาคม 2567
1.947k views
TSI_Article_555_Inv_Thumbnail
Highlights
  • Netflix ผู้ให้บริการความบันเทิงสตรีมมิ่งวิดีโอที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลก และผู้ผลิตคอนเทนต์ยอดนิยม เช่น One Piece และ The Crown เป็นต้น

  • Netflix ให้บริการมากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก โดยสมาชิกของ Netflix เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี จากปี 2016 – 2023 มีสมาชิก 260 ล้านราย หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15%

  • วันนี้นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้น Netflix ได้แล้วผ่านตลาดหุ้นไทย เพียงมีบัญชีซื้อขายหุ้นก็เทรดได้ แถมยังซื้อขายเป็นเงินบาท ผ่านแอปพลิเคชัน Streaming

ท่ามกลางกระแส Disruptive Technology* จนทำให้หลายบริษัทที่สมัยก่อนเคยเป็นผู้นำธุรกิจ แต่บัดนี้ล้มหายตายจากหรือแคระแกร็นไปเลย (อาทิ Kodak ที่มุ่งเน้นผลิตฟิล์มถ่ายรูป หรือ Nokia ที่ทำโทรศัพท์มือถือแต่ยึดติดกับระบบปฏิบัติการเดิม ๆ) แต่มีบริษัทหนึ่งชื่อว่า Netflix ที่สามารถปรับตัวเองและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจจากเทคโนโลยีที่พลิกผันได้

 

Netflix จากที่เคยทำธุรกิจให้เช่า DVD ทางไปรษณีย์ที่เกือบล้มละลาย แต่ก็ก้าวข้ามมาเป็นบริษัทบันเทิงที่มูลค่าตลาดสูงถึง 2.5 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ทั้งนี้ Netflix เป็นหนึ่งในบริษัทแรก ๆ ที่ใช้อินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงลูกค้าและได้เปลี่ยนแปลงธุรกิจบันเทิงไปอย่างสิ้นเชิง แม้ดูเป็นเพียงความคิดง่าย ๆ ในปัจจุบัน แต่ในสมัยนั้นการริเริ่มธุรกิจให้บริการสตรีมมิ่งวิดีโอต้องมีความกล้าอย่างมาก รวมทั้งการมีวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร เนื่องจากความเร็วและความสามารถในการดาวน์โหลดข้อมูลในสมัยนั้นยังมีข้อจำกัด แต่ Netflix ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าทำได้จนประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้

 

*Disruptive Technology หรือเทคโนโลยีที่พลิกผัน คือ เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใหม่ ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ จนสามารถแทนที่ผลิตภัณฑ์ หรือเทคโนโลยีเดิมในตลาดได้สำเร็จ

 

โมเดลธุรกิจของ Netflix เป็น Subscription-Based

กล่าวได้เลยว่า โมเดลการทำธุรกิจของ Netflix นั้นวิวัฒนาการมาจากเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการพลิกผัน จากที่สมัยก่อนผู้บริโภคต้องรับชมรายการบันเทิงผ่านทางทีวี ที่ถูกกำหนดตารางเวลาตายตัว รวมทั้งมีโฆษณาขั้น ก่อนที่มีวิดีโอเทป (VHS) เข้ามา แต่ก็ต้องหาซื้อหรือไม่ก็ต้องเช่าจากร้านวิดีโอที่มีจำนวนรายการให้เลือกจำกัด

 

ย้อนกลับไปในปี 1997 นาย Reed Hastings ซึ่งในเวลานั้นทำธุรกิจซอฟต์แวร์ ได้เช่าวิดีโอเทปมาจาก Blockbuster ร้านที่ให้บริการเช่าวิดีโอที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในสหรัฐฯ ณ ขณะนั้น แต่กลับต้องมาเสียค่าปรับจากการส่งคืนวิดีโอล่าช้า จึงได้ร่วมกับเพื่อนคือ นาย Marc Randolph (ต่อมาเป็น CEO คนแรกของ Netflix) มาร่วมกันตั้งบริษัท Netflix ทำธุรกิจให้เช่าวิดีโอระบบสมาชิกแบบที่ไม่ต้องเสียค่าปรับ แต่ก็ติดปัญหาเรื่องต้นทุนการขนส่งด้วยขนาดสินค้า

 

จนกระทั่งการเข้ามาของ DVD ที่เป็นแผ่นบางก็ทำให้ Netflix เริ่มเปิดธุรกิจให้จำหน่ายและให้เช่า DVD ผ่านไปรษณีย์ทางออนไลน์ แต่ก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดจากที่ต้องต่อกรกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Blockbuster (ประกาศล้มละลายในปี 2010) จวบจนกระทั่งปี 2007 Netflix ก็เริ่มให้บริการสตรีมมิ่งวิดีโอจากคอนเทนต์ (Content) ที่มีจากผู้สร้างและผู้ผลิตภายนอก

 

ก่อนที่ในปี 2011 Netflix เริ่มผลิตคอนเทนต์ ของตัวเองจากทีวีซีรีส์เรื่อง “House of Cards” ซึ่งประสบความสำเร็จจากที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ รวมทั้งเป็นทีวีซีรีส์เรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmy จนทำให้ Netflix มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันในหมู่ผู้ชมคอนเทนต์มากขึ้น

 

นอกจากนี้ ยังมีซีรีส์ที่สร้างชื่อเสียงและมียอดผู้เข้าชมมากกว่า 500 ล้านชั่วโมงขึ้นไป (ในช่วง 28 วันแรกของการออกอากาศ) อย่าง "Stranger Things," “Wednesday,” "Dahmer - Monster: The Jeffrey Dahmer Story," "Money Heist," "Bridgerton," ไปจนถึง “Squid Game” ที่มีจำนวนชั่วโมงในการรับชมสูงถึง 1.65 พันล้านชั่วโมง

 

ทั้งนี้ คอนเทนต์ ซึ่งประกอบด้วยภาพยนตร์ รายการทีวี สารคดี เป็นต้น ถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญของ Netflix มีทั้งที่บริษัทลงทุนสร้างเอง (Owned) และจากการว่าจ้างผู้ผลิต (Licenses) ซึ่งเรียกรวมกันว่า Netflix Original อีกส่วนหนึ่งมาจากภาพยนตร์และรายการทีวีที่มีการออกอากาศไปแล้วของผู้สร้างและค่ายหนังแต่นำมาฉายซ้ำใน Platform ของ Netflix

 

ข้อดีของการที่ Netflix มีคอนเทนต์เป็นของตนเองแม้ต้องมีการลงทุนที่สูงมากในช่วงต้น และเป็นต้นทุนการดำเนินงานหลัก (มากกว่า 90% ของสินทรัพย์คอนเทนต์ โดยเฉลี่ยมีการตัดจ่ายภายในเวลา 4 ปีนับตั้งแต่เดือนที่มีการออกอากาศเป็นครั้งแรก) แต่ก็คุ้มค่าในทางเศรษฐศาสตร์จากที่สามารถนำกลับมาออกอากาศซ้ำได้อีก โดยที่ค่าใช้จ่ายดำเนินการลดลงอย่างมีนัย รวมทั้งลดความเสี่ยงจากที่ไม่ต้องพึ่งพาคอนเทนต์ของ Third Parties ที่อาจถูกยกเลิกสัญญาได้ นับตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปี 2023 Netflix มีการลงทุนสินทรัพย์คอนเทนต์เป็นมูลค่ารวมมากกว่าหนึ่งหมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

Netflix เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิ่งวิดีโอที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลก

ปัจจุบัน Netflix เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิ่งวิดีโอที่มียอดสมาชิกมากที่สุดในโลก โดย ณ เดือนมกราคม 2024 บริษัทมีจำนวนสมาชิกที่จ่ายค่าบริการรวม 260.28 ล้านราย ในมากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก (ยกเว้นจีน เกาหลีเหนือ ไครเมีย ซีเรีย และรัสเซียที่มีการคว่ำบาตรจากผลสงครามรัสเซีย-ยูเครน) ทั้งนี้สมาชิกของ Netflix เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปีจากตัวเลขปี 2016 ที่มีอยู่ 98 ล้านราย มาเป็น 260 ล้านรายในปี 2023 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15%  

The graph depicts the leading Streaming Video Providers in the top 10 positions
The graph displays the number of subscribers and average revenue per user for Netflix, spanning the years 2016 to 2023

ในปีการเงิน 2023 ที่ผ่านมา รายได้ของ Netflix เกือบทั้งหมดมาจากรายได้จากการสตรีมมิ่งที่มาจากการเก็บค่าสมาชิกรายเดือน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกที่จ่ายค่าบริการ และค่าสมาชิกรายเดือนที่ขึ้นอยู่กับแผนการรับชมที่สมาชิกเลือกไว้ ซึ่งส่งผลต่อรายได้ค่าสมาชิกเฉลี่ย (Average Revenue per User-ARPU) โดยรายได้ส่วนใหญ่เกือบ 60% มาจากตลาดต่างประเทศ ส่วนรายได้จากการให้เช่า DVD ที่บริษัทให้บริการมาตั้งแต่ต้น มีไม่ถึง 0.5% ของรายได้รวม และบริษัทได้ยกเลิกธุรกิจ DVD ไปตั้งแต่เดือนเมษายนปีก่อน อย่างไรก็ ตามคาดว่าในปีการเงิน 2024 เป็นต้นไปบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจโฆษณาแฝงที่เริ่มต้นไปในปลายปี 2023

The graph represents Netflix's revenue and net income from 2019 to 2023
Netflix Revenue Distribution by Continent, 2023

ปัจจัยที่ทำให้ Netflix ประสบความสำเร็จ

  1. คอนเทนต์ Netflix เป็นบริษัทสตรีมมิ่งวิดีโอที่มีคลังคอนเทนต์และมีความหลากหลายมากที่สุดบริษัทหนึ่ง โดยบริษัทมีการลงทุนอย่างมากในการผลิตและซื้อคอนเทนต์ เพื่อให้มีคอนเทนต์ออกมาใหม่สม่ำเสมอและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า นอกจากนี้การผลิตคอนเทนต์เป็นของตัวเองยังสร้างความแตกต่างให้กับบริษัท จากที่ไม่สามารถหาชมได้ในแพลตฟอร์มอื่น โดย Netflix ถือเป็นผู้บุกเบิกวัฒนธรรมการชมซีรีส์ต่อเนื่องติดต่อกัน (Binge Watching) จากการออกซีรีส์ครั้งละหลายตอนในคราวเดียว ซึ่งกลยุทธ์นี้ไม่เพียงสร้างความแตกต่างจากการดูทีวีทั่วไป แต่ยังสร้างความผูกพันกับผู้ชมอีกด้วย

 

  1. เทคโนโลยี แพลตฟอร์มของ Netflix ง่ายต่อการใช้งานและเชื่อมต่อได้ในหลายอุปกรณ์ ตั้งแต่สมาร์ตทีวี โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ไปจนถึงเครื่องเล่นเกม ช่วยให้สมาชิกสามารถรับชมภาพยนตร์และรายการโปรดเมื่อใดที่ต้องการ ไม่มีข้อจำกัดของสถานที่และเวลา เพียงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือดาวน์โหลดมาดูแบบ Offline ได้


นอกจากนี้ บริษัทยังมีระบบวิเคราะห์และเก็บข้อมูลพฤติกรรมการรับชมของสมาชิกที่ก้าวล้ำ ทำให้สามารถสร้างและแนะนำคอนเทนต์ให้ตรงใจกับความต้องการ เพื่อสร้างความพึงพอใจของสมาชิกให้มากที่สุด อีกทั้งบริษัทยังเป็นพาร์ตเนอร์กับผู้ผลิตอุปกรณ์ต่อเชื่อม มีปุ่มกด “Netflix Botton” รวมทั้งสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันในระบบปฏิบัติการทั้ง Android และ iOS ก็ยิ่งช่วยให้ผู้ชมเข้าถึง Netflix ได้สะดวกขึ้น โดยสามารถทดลองชมฟรีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ลูกค้าที่เริ่มแรกไม่คิดสมัครเป็นสมาชิกแต่เมื่อทดลองชมและติดใจก็กลายเป็นสมาชิกระยะยาว

 

  1. ค่าบริการ Netflix มีการเก็บอัตราค่าบริการแตกต่างกันตามแผนที่สมาชิกเลือกรับชม ทำให้เข้าถึงสมาชิกได้หลายกลุ่ม โดยค่าบริการคิดจากจำนวนอุปกรณ์ที่รับชม งบประมาณ และตามความต้องการของลูกค้า

 

  1. การเข้าถึงผู้ชมทั่วโลก ปัจจุบัน Netflix ให้บริการมากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก และมุ่งเน้นบุกตลาดต่างประเทศ ช่วยให้บริษัทมีการกระจายรายได้และเพิ่มฐานสมาชิกลูกค้า ซึ่งไม่เหมือนกับทีวีเน็ตเวิร์กทั่วไปที่มีฐานลูกค้าเฉพาะประเทศนั้น ๆ นอกจากนี้ การที่ Netflix ผลิตคอนเทนต์จากประเทศหนึ่งแต่สามารถออกอากาศไปได้ทั่วโลกช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนต่อหน่วย รวมทั้งใช้เป็นกลยุทธ์การเข้าเจาะตลาดใหม่อีกด้วย

 

โอกาสลงทุนหุ้น Netflix ผ่านตลาดหุ้นไทย

ปัจจุบัน นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ผ่านการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่ซื้อขายบนกระดานตลาดหุ้นไทย เช่น DRx (Fractional DR) ซึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยผู้ออก DRx จะเป็นคนไปซื้อหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาทอีกต่อหนึ่ง ซึ่งผู้ถือ DRx จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เสมือนลงทุนหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศโดยตรง

 

ล่าสุด ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ออกตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศของบริษัท เน็ตฟลิกซ์ อิงค์ (Netflix, Inc.) หรือ DRx ของหุ้น NFLX มีสัญลักษณ์ซื้อขาย คือ NFLX80X เพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้น NFLX ได้บนกระดานตลาดหุ้นไทย (อัตราส่วน 1 หุ้น NFLX : 10,000 DRx) ซึ่งมีข้อดีคือ ไม่ต้องยุ่งยากในการไปลงทุนหุ้น NFLX ในต่างประเทศโดยตรง มีเงินน้อยก็ลงทุนได้ เนื่องจาก DRx สามารถลงทุนขั้นต่ำโดยเริ่มต้นที่ 0.0001 หน่วยเท่านั้น และสามารถเลือกซื้อขายเป็นจำนวนเงินบาท หรือ จำนวนหน่วยของ DRx ก็ได้

 

นอกจากนี้ ยังสามารถซื้อขายได้ตามเวลาทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งจะเปิดซื้อขายในเวลา 2 ทุ่มถึงตี 4 ของวันถัดไป ทำให้การเคลื่อนไหวของราคา DRx จะสอดคล้องกับหุ้น Netflix ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) สหรัฐอเมริกา โดยนักลงทุนสามารถซื้อขาย DRx ได้อย่างสะดวกผ่านแอปพลิเคชัน Streaming เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้น เพียงแค่เปิดบัญชี DRx ซึ่งเป็นบัญชีย่อยภายใต้บัญชีซื้อขายหุ้นเพิ่มเติม หรือนักลงทุนที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นอยู่แล้วสามารถขอเปิดบัญชี DRx ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน Streaming ได้เช่นกัน

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะพื้นฐาน หลักการเลือกลงทุน และวิธีการลงทุน DRx ในต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “DRx ลงทุนไซซ์เล็ก เพื่อโอกาสใหญ่ในตลาดโลก” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ 

แท็กที่เกี่ยวข้อง: