หากเอ่ยถึงหุ้นกลุ่มยอดนิยมที่นักลงทุนชื่นชอบ คือ กลุ่มโรงพยาบาล เพราะถือเป็นธุรกิจหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิต ขณะเดียวกันก็มีโรคที่อุบัติใหม่และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และหากมองในเชิงการดำเนินธุรกิจถือเป็นธุรกิจที่ทนทานต่อความผันผวนของเศรษฐกิจได้ดี พูดง่าย ๆ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะซบเซาหรือขยายตัวก็มีแนวโน้มเติบโต เพราะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยหรือความต้องการใช้บริการโรงพยาบาล ทำให้เป็นธุรกิจที่เติบโตได้ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลจะเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน ตรงไปตรงมา แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำและเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับมีปัจจัยเฉพาะตัว เช่น การรับรู้รายได้ทางบัญชี ต้นทุนทางการเงิน กฎระเบียบ การแข่งขัน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ลึกซึ้ง โดยเฉพาะการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งในเบื้องต้นมีขั้นตอน ดังนี้
แบ่งประเภทของหุ้นโรงพยาบาลเพื่อวิเคราะห์ให้ง่ายขึ้น
การวิเคราะห์ควรเริ่มจากการดู Business Model พูดง่าย ๆ ให้ดูวิธีการทำมาหากิน ว่ามีรายได้หลักจากลูกค้ากลุ่มไหน โดยดูได้จากคำอธิบายผลประกอบการจากรายงานประจำปี รวมถึงบริษัทได้ส่งข้อมูลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ (ข่าวบริษัทจดทะเบียน) ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทำให้นักลงทุนมีไอเดียในการลงทุน เช่น บริษัทกำลังเน้นลูกค้ากลุ่มไหนและเติบโตมากน้อยแค่ไหน โดยสามารถแบ่งกลุ่มหุ้นโรงพยาบาลตามกลุ่มลูกค้าได้ดังนี้
ดังนั้น สังเกตว่าโรงพยาบาลที่เน้นรับสิทธิประกันสังคม มักจะเลือกตั้งสาขาโรงพยาบาลใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม โดยรายได้มาจากภาครัฐจะจ่ายเหมาเป็นรายหัว ทำให้การดำเนินธุรกิจช่วงแรก ๆ จะไม่ค่อยมีกำไร เพราะจำนวนผู้ประกันตนมีน้อย จึงต้องสะสมฐานลูกค้า 2 - 3 ปี จึงจะเริ่มมีกำไร
ลักษณะร่วมของงบการเงินธุรกิจโรงพยาบาล
สำหรับสินค้าคงเหลือ จะเป็นยาและอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้แล้วทิ้ง ถัดมาเป็นลูกหนี้การค้า หากโรงพยาบาลมีลูกค้าเงินสดจำนวนมาก ทำให้ลูกหนี้การค้าต่ำ และลูกหนี้การค้าจะเพิ่มขึ้นเมื่อรับลูกค้าประกันชีวิต ประกันภัยที่มีค่ารักษาพยาบาล ส่วนลูกหนี้การค้าที่รับลูกค้าประกันสังคมก็ต้องพิจารณาแต่ละกรณี ว่าสามารถเบิกจากเงินรายหัวของผู้ประกันตนได้หรือไม่ หากกรณีที่เบิกไม่ได้จะทำให้มีรายจ่ายเป็นผลขาดทุนด้านเครดิตในงบกำไรขาดทุน
ส่วนของหนี้สิน โครงสร้างหนี้สินของธุรกิจโรงพยาบาลจะสัมพันธ์กับโครงสร้างสินทรัพย์ โดยหนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ระยะยาว เพราะจะกู้มาเพื่อลงทุนซื้อที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ที่มีอายุยาว อย่างไรก็ตาม สังเกตว่าโดยส่วนใหญ่ธุรกิจดังกล่าวจะมีหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต่ำ เนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกสูง ทำให้มีเงินไปจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยค่อนข้างเร็ว พูดง่าย ๆ สามารถจ่ายหนี้หมดภายในเวลารวดเร็ว
สำหรับหนี้ที่สามารถใช้เป็นสัญญาณการเติบโตในอนาคต คือ เงินรับล่วงหน้าจากลูกค้า ซึ่งจะเป็นเงินที่ลูกค้าวางมัดจำแล้วมาใช้บริการต่อไป โดยเฉพาะโรงพยาบาลเฉพาะทางที่เน้นความงาม เพราะเมื่อลูกค้าตกลงใช้บริการก็จะจ่ายเงินมัดจำไว้ก่อน และเมื่อมาใช้บริการ หนี้ดังกล่าวก็ลดลงและกลายเป็นรายได้ แต่หากลูกค้าไม่มาใช้สิทธิก็ตีกลับเป็นรายได้ในอนาคต ดังนั้น หากโรงพยาบาลมีเงินรับล่วงหน้าจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเมินได้ล่วงหน้าว่าอนาคตจะมีรายได้เติบโตขึ้นด้วย
สำหรับต้นทุนขาย จะเป็นค่าหมอ พยาบาล อุปกรณ์การแพทย์และค่าเสื่อมอุปกรณ์การแพทย์ต่าง ๆ ส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารจะเป็นค่าทำการตลาด ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่น ๆ และเมื่อหักดอกเบี้ยและภาษีก็จะได้กำไรสุทธิ
อัตราส่วนทางการเงิน
เนื่องจากงบการเงินของหุ้นโรงพยาบาลมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเยอะ ทำให้ธุรกิจนี้มีค่าใช้จ่ายคงที่สูง ในช่วงแรก ๆ ของการขยายตึกใหม่ การเพิ่มจำนวนเตียง รายได้ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน อัตรากำไรขั้นต้นจะต่ำลง กำไรไม่โต ราคาหุ้นไม่ไปไหนเป็นปี และเมื่อรายได้มากขึ้น เมื่อเลยจุดคุ้มทุน อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้น แสดงว่ารายได้โตไวกว่าต้นทุนคงที่แล้ว ถ้าไตรมาสต่อไปรายได้ยังเพิ่มขึ้นอยู่ กำไรจะกระโดดแรง ราคาหุ้นมักจะขึ้นแรงไปด้วย
ตัวอย่าง หุ้น BH
บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) มีกลยุทธ์เน้นลูกค้าต่างชาติ โดยก่อนเกิดการแพร่ระบาด COVID-19 มีอัตราครองเตียงเต็มตลอด จึงเติบโตได้ต่อเนื่อง และที่สำคัญมีการปรับขึ้นราคาค่ารักษาพยาบาล แต่มาเจ็บหนักช่วง COVID-19 เมื่อลูกค้าต่างชาติเดินทางเข้ามารักษาไม่ได้ จึงเหลือแต่ลูกค้าคนไทยทำให้รายได้ปรับลดลง แต่ค่าใช้จ่ายไม่ลดลงตาม ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิลดลง เมื่อประเทศไทยเริ่มเปิดเมือง ทำให้ลูกค้าชาวต่างชาติเริ่มทยอยเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้รายได้และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น และเมื่อรายได้ถึงจุดคุ้มทุน ทำให้ปัจจุบันอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิสูงกว่าช่วง COVID-19 ไปเรียบร้อย
การประเมินมูลค่าหุ้น
ธุรกิจโรงพยาบาล เป็นธุรกิจที่มีกำไรสม่ำเสมอ ขณะที่ ROE อยู่ในระดับสูงและสม่ำเสมอ และสังเกตว่ามีการเติบโตต่อเนื่องทำให้ P/E Ratio ของหุ้นกลุ่มนี้มักจะมีค่าเฉลี่ยสูงประมาณ 20 - 30 เท่า ด้านกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจจะเน้นขยายโรงพยาบาลหรือสร้างโรงพยาบาลใหม่ ซึ่งช่วง 1 - 2 ปีแรก จะเป็นจังหวะที่ยังไม่คุ้มทุน กำไรจะอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ราคาหุ้นไม่ค่อยขยับ แต่เมื่อเริ่มมีสัญญาณอัตรากำไรขั้นต้นเริ่มปรับเพิ่มขึ้น นักลงทุนควรประเมินว่ากำไรของโรงพยาบาลเปิดใหม่จะเติบโตมากน้อยแค่ไหน
วิธีเบื้องต้นในการประเมินกำไร คือ จำนวนเตียง เช่น สมมติว่าโรงพยาบาลแห่งใหม่มีจำนวนเตียงเพิ่มขึ้น 30% หากอัตรากำไรเท่าเดิม หมายความว่ากำไรจะเติบโต 30% จากนั้นนำกำไรที่ได้คูณค่าเฉลี่ย P/E Ratio ก็จะได้ราคาหุ้นที่เหมาะสม หากถึงจุดคุ้มทุน กำไรเพิ่มขึ้นตามการประเมิน ราคาหุ้นมักจะปรับขึ้นตามไปด้วย
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่สนใจ เรียนรู้องค์ประกอบต่าง ๆ ของงบการเงิน และเทคนิคการอ่านงบการเงินแบบง่าย เพื่อประเมินศักยภาพของกิจการประกอบการตัดสินใจลงทุน ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Financial Statement Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่