Amazon.com (Amazon) เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก แต่เชื่อหรือไม่ว่าบริษัทนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการขายหนังสือออนไลน์ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1997 (ตัวย่อ AMZN) โดยมีมูลค่าตลาด (Market Cap) ณ ขณะนั้นเพียง 438 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนมีวิวัฒนาการต่อมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีภายใต้ปรัชญาการทำธุรกิจที่เอาความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้ง ผ่านมา 27 ปี ปัจจุบันหุ้น AMZN มีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2024) โดยหากเปรียบเทียบการลงทุนหุ้น AMZN ในราคา 100 บาทที่ราคา IPO ถึงตอนนี้จะมีมูลค่า 2.3 แสนบาท ในขณะที่ลงทุนดัชนี S&P 500 ในช่วงเวลาเดียวกันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 592 บาท ปัจจุบัน AMZN เป็นหนึ่งในสมาชิกของหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ที่มีอิทธิพลต่อการปรับขึ้นของดัชนี S&P 500 ในช่วงที่ผ่านมา
จากธุรกิจขายหนังสือออนไลน์มาเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
Amazon.com Inc. (Amazon) ก่อตั้งขึ้นโดยนาย Jeff Bezos ในปี 1994 ซึ่งขณะนั้นทำงานที่บริษัทเฮดจ์ฟันด์ใน Wall Street หลังจากอ่านรายงานบทวิเคราะห์ที่คาดการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตที่โต 2,300% ต่อปี ทำให้เขามองเห็นโอกาสการทำธุรกิจผ่านช่องทางเว็บไซต์ จึงลาออกจากงานมาตั้งบริษัทของตนเองเพื่อทำธุรกิจขายของออนไลน์ โดยเริ่มจากการขายหนังสือก่อนแล้วต่อมาจึงเพิ่มจำนวนรายการสินค้ามากขึ้น รวมทั้งให้ผู้ขายทั่วไปใช้แพลตฟอร์ม Amazon ในการขายสินค้า ก่อนขยายไปยังธุรกิจด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และการให้บริการด้านซอฟต์แวร์ จนกระทั่งปี 2006 Amazon ได้ก้าวข้ามจากบริษัทอีคอมเมิร์ซมาเพิ่มการให้บริการระบบคลาวด์ (Cloud Computing) ภายใต้ชื่อ Amazon Web Services (AWS) จนมาเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน
การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซสูงกว่ายอดค้าปลีก
ตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลกมีการเติบโตที่สูงมากเมื่อเทียบกับยอดค้าปลีก อ้างอิงข้อมูลจาก eMarketer (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2023) ประมาณการว่าในช่วงปี 2016 - 2022 มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลกมีการเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี (เทียบกับยอดค้าปลีกที่ 5% - 6%) และคาดว่าจะมีมูลค่า 6.3 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เพิ่มขึ้น 10.4% จากปีก่อนหน้า โดยประเทศจีนมีมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่สุดในโลกราว 3 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่ง รองลงมาเป็นสหรัฐอเมริกาที่ 1.2 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ แม้สหรัฐฯ มีตลาดค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดอีคอมเมิร์ซมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ประชากร การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะผ่านสมาร์ตโฟน และความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าที่มีให้เลือกมากกว่า จากข้อมูลของ Statista ระบุว่าในปี 2022 ที่ผ่านมา Amazon มีส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซมากที่สุดในสหรัฐฯ ที่ 63% สูงกว่าอันดับสองคือ Walmart ที่มีส่วนแบ่งตลาด 11%
AWS เป็นระบบประมวลผลบน Cloud ที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลก
ปัจจุบัน AWS เป็นระบบประมวลผลบน *Cloud ที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลก จากการที่มีโซลูชันให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้หลากหลายนับตั้งแต่การคำนวณ การจัดเก็บข้อมูล ไปจนถึงการทำ Machine Learning มีผู้ใช้บริการทั้งบริษัทเอกชน Start-ups หน่วยงานรัฐบาล และสถานศึกษา โดยข้อมูลจาก Gartner ระบุว่าในปี 2022 AWS ของ Amazon มีส่วนแบ่งตลาด Cloud ทั่วโลกในแง่ของรายได้ 40% ทิ้งห่าง AZURE ของ Microsoft ที่ 21.5% โดย AWS ถือเป็นธุรกิจที่ทำกำไรให้ Amazon มากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนราวสองในสามแม้มีสัดส่วนรายได้ไม่ถึงหนึ่งในห้า และจะเป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนการเติบโตกำไรของ Amazon ต่อไป
*หมายเหตุ : Cloud Computing หรือ Cloud คือการให้บริการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งประกอบด้วยการคำนวณ การจัดเก็บข้อมูล เซิร์ฟเวอร์ บริการเน็ตเวิร์ด ไปจนกระทั่งปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมีข้อดีคือ ผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องลงทุนในทรัพยากรเหล่านี้ เพียงแค่ต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตก็ใช้งานได้ และสามารถปรับเพิ่มหรือลดขนาดตามความต้องการใช้เพื่อให้เหมาะสมกับธุรกิจ รวมทั้งไม่ต้องมีภาระในการ Maintenance และระบบก็จะมีการ Upgrade ให้เป็นเวอร์ชันที่ทันสมัยทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ตลาด Cloud มีมูลค่าใหญ่มาก จากการประมาณการของ IDC ในปี 2023 คาดว่ามีมูลค่า 6.6 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% YoY และคาดว่าจะเติบโตในอัตรา 19% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้าจนแตะ 1.34 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2027 โดยมีปัจจัยหนุนจากที่องค์กรมีการทำ Digital Transformation รวมทั้งการเข้ามาของ Generative AI ที่ต้องการความสามารถในการประมวลผลและเนื้อที่การจัดเก็บข้อมูลมากมายมหาศาล
รายได้หลักของ Amazon ประกอบด้วย
จุดเด่นของผลประกอบการบริษัท Amazon คือรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องมาตลอดทุกปีนับตั้งแต่ที่บริษัทก่อตั้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งปีที่มีวิกฤติเศรษฐกิจ หรือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากที่เคยทำรายได้ 148 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในปี 1997 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาเป็น 5.7 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023
ในขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทส่วนใหญ่ออกมาเป็นบวก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Amazon มีผลขาดทุน 2 ครั้ง คือในปี 2014 ที่มาจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนขยายธุรกิจ และในปี 2022 จากการขาดทุนเงินลงทุนในบริษัทผลิตรถไฟฟ้า Rivian ที่เริ่มก่อตั้ง
สำหรับในปี 2023 ที่ผ่านมา Amazon ทำกำไรสุทธิได้ 3.0 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ จากที่เคยทำได้ 1.15 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2019 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 27% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
กฎแห่งความสำเร็จของ Amazon (The Amazon Way)
Amazon ถือเป็นองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ จนทำให้หลายบริษัทนำหลักการในการดำเนินธุรกิจของ Amazon มาใช้เป็นแบบอย่าง โดยผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่สำคัญอย่าง การยึดลูกค้าเป็นที่ตั้ง (Customer Obsession) คือการใส่ใจลูกค้าอย่างจริงจังที่สุด ฟังความต้องการของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ และหาสิ่งที่ตรงใจลูกค้าที่สุดอยู่ตลอดเวลา โดยทำงานแบบย้อนกลับหลัง (Working Backwards) เพื่อสืบต้นตอว่าลูกค้าชอบอะไร และออกแบบขั้นตอน วิธีการ และผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ และตอบโจทย์จนกว่าลูกค้าจะพอใจ ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำซึ่งถือเป็นเคล็ดลับแห่งความสำเร็จของ Amazon มาจนถึงทุกวันนี้
โอกาสลงทุนหุ้น Amazon ผ่านตลาดหุ้นไทย
ปัจจุบัน นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ผ่านการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่ซื้อขายบนกระดานตลาดหุ้นไทย เช่น DRx (Fractional DR) ซึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยผู้ออก DRx จะเป็นคนไปซื้อหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาทอีกต่อหนึ่ง ซึ่งผู้ถือ DRx จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เสมือนลงทุนหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศโดยตรง
ล่าสุด ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ออกตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศของบริษัท แอมะซอน.คอม อิงค์ (Amazon.com Inc.) หรือ DRx ของหุ้น AMZN มีสัญลักษณ์ซื้อขาย คือ AMZN80X เพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้น AMZN ได้บนกระดานตลาดหุ้นไทย (อัตราส่วน 1 หุ้น Amazon : 4,000 DRx) ซึ่งมีข้อดีคือ ไม่ต้องยุ่งยากในการไปลงทุนหุ้น AMZN ในต่างประเทศโดยตรง มีเงินน้อยก็ลงทุนได้ เนื่องจาก DRx สามารถลงทุนขั้นต่ำโดยเริ่มต้นที่ 0.0001 หน่วยเท่านั้น และสามารถเลือกซื้อขายเป็นจำนวนเงินบาท หรือ จำนวนหน่วยของ DRx ก็ได้
นอกจากนี้ ยังสามารถซื้อขายได้ตามเวลาทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งจะเปิดซื้อขายในเวลา 2 ทุ่มถึงตี 4 ของวันถัดไป ทำให้การเคลื่อนไหวของราคา DRx จะสอดคล้องกับหุ้น Amazon.com ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) สหรัฐอเมริกา โดยนักลงทุนสามารถซื้อขาย DRx ได้อย่างสะดวกผ่านแอปพลิเคชัน Streaming เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้น เพียงแค่เปิดบัญชี DRx ซึ่งเป็นบัญชีย่อยภายใต้บัญชีซื้อขายหุ้นเพิ่มเติม หรือนักลงทุนที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นอยู่แล้วสามารถขอเปิดบัญชี DRx ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน Streaming
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะพื้นฐาน หลักการเลือกลงทุน และวิธีการลงทุน DRx ในต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทย สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “DRx ลงทุนไซซ์เล็ก เพื่อโอกาสใหญ่ในตลาดโลก” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่