หากนึกถึงอัตราส่วนทางการเงินยอดนิยมที่นักลงทุนนำมาประกอบการตัดสินใจก่อนลงทุนหุ้น หนึ่งในนั้นคือ อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ หรือ P/E Ratio ซึ่งเป็นการวัดว่าเราจ่ายเงินซื้อหุ้นด้วยราคากี่เท่าของกำไร หุ้นที่ P/E Ratio “สูง” แสดงว่าหุ้นตัวนั้น “แพง” กว่าหุ้นที่ P/E Ratio “ต่ำ” (ต้องเปรียบเทียบกับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือมีลักษณะการดำเนินธุรกิจที่เหมือนหรือคล้ายกัน) อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ดูแค่ความ “ถูกหรือแพง” เท่านั้น นักลงทุนควรพิจารณาประเด็นอื่น ๆ เพิ่มเติมเมื่อจะประเมินมูลค่าหุ้นด้วย P/E Ratio ด้วย ดังนี้
1. ราคา คือ สิ่งที่จ่าย (ซื้อความคาดหวัง)
เมื่อนักลงทุนยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้นในวันนี้ เพราะคาดหวังว่าจะได้กำไรในอนาคต ซึ่งปัจจัยที่กำหนดความคาดหวังนั้น คือ กิจการมีการเติบโตและมีคุณภาพในการดำเนินธุรกิจ มีความสามารถในการแข่งขัน มีแผนลงทุนที่ดีมีประสิทธิภาพ และนักลงทุนรับรู้พร้อมกับคาดหวังการเติบโตที่ดีในอนาคต ถึงแม้ว่าหุ้นตัวนั้น P/E Ratio จะสูง นักลงทุนก็จะยอมจ่าย และหากบริษัทสามารถรักษาการเติบโตได้ต่อเนื่อง ก็จะเห็น P/E Ratio ยืนอยู่ระดับสูง ๆ ได้หลายปี
2. กำไร คือ สิ่งที่ (คาดว่า) จะได้รับ
นอกจากนักลงทุนต้องการหุ้นที่มี P/E Ratio ต่ำแล้ว ก็ต้องการ “หุ้นที่ดี” ด้วย เพราะการได้ของถูกและดี เมื่อนักลงทุน (ส่วนใหญ่) เริ่มเห็นว่าเป็นหุ้นที่มีคุณค่า ราคาหุ้นก็จะปรับขึ้นไปสู่ระดับที่เรียกว่า มูลค่าที่เหมาะสม แต่สมมติว่ายังไม่มีใครเห็นสิ่งที่จะได้อย่างชัดเจน เช่น ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเติบโตของกิจการ ต้องดูที่คุณภาพของกำไร ซึ่งสามารถดูได้จากความสม่ำเสมอของอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่จะเป็นตัวบอกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น 100 บาท สามารถสร้างผลตอบแทนได้เท่าไร ซึ่งแนวคิดการวิเคราะห์มาจากสมมติฐานเบื้องหลังของการประเมินมูลค่า คือ กำไรในอนาคต จะเติบโตในอัตราคงที่ไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ลักษณะการเติบโตแบบนี้เรียกว่า Sustainable Growth
สูตร g = ROE * (1-b) |
โดยที่ g = การเติบโต
ROE = ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
b = อัตราปันผลต่อกำไร
ความหมายของการเติบโตในลักษณะนี้ คือ เมื่อบริษัทมีกำไรหลังจากหักปันผล จากนั้นนำเงินทุนที่เพิ่มไปลงทุนต่อได้ผลตอบแทนเท่ากับ ROE และหาก ROE อยู่ในระดับคงที่สม่ำเสมอ กำไรก็จะเติบโตคงที่สม่ำเสมอตามไปด้วย
ดังนั้น ควรพิจารณารายได้ กำไร และ ROE ที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และหากต้องการลงทุนแล้วสบายใจมากยิ่งขึ้น หุ้นก็ต้องมี P/E Ratio ไม่แพงจนเกินไป พูดง่าย ๆ ได้ซื้อ “ของดี ในราคาที่เหมาะสม”
3. หุ้น P/E ต่ำ แต่ตัวเลขกำไรหวาดเสียว
นักลงทุนอาจชื่นชอบหุ้น P/E Ratio ต่ำ เพราะมองว่าได้ซื้อของถูก แต่หากวิเคราะห์ก็อาจเป็นภาพลวงตาจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น
4. P/E Ratio ที่เหมาะสม ควรอยู่ระดับไหน
เทคนิคเบื้องต้นในการคำนวณหา P/E Ratio ที่เหมาะสม คือ การใช้ P/E Ratio เฉลี่ย เพราะเป็นค่าที่คำนวณจากตลาดโดยรวมที่มีต่อหุ้น หาก P/E Ratio เฉลี่ยอยู่ระดับสูง แสดงว่าตลาดโดยรวมคาดหวังการเติบโตสูง และหาก P/E Ratio เฉลี่ยอยู่ระดับต่ำ แสดงว่าตลาดโดยรวมคาดหวังการเติบโตไม่สูง
ถัดจากนั้น นักลงทุนก็นำมาปรับตามการวิเคราะห์ของตัวเองพร้อมกับการประเมินอนาคตธุรกิจไปใน 3 - 5 ปีข้างหน้า ว่าจะยังเติบโตสูงต่อเนื่องหรือไม่ หากมองว่ามีโอกาสเติบโตลดลง ก็ปรับ P/E Ratio ลง จากนั้นก็นำไปเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย หาก P/E Ratio เฉลี่ยต่ำกว่า สะท้อนว่าได้ซื้อหุ้นในราคาถูก เป็นต้น
5. หาราคาเป้าหมายด้วย P/E Ratio
การหาราคาเป้าหมายโดยใช้สูตร
ราคาเป้าหมาย = (PE) x กำไรที่คาดการณ์ |
ตัวอย่าง
ดังนั้น ในการหาหุ้นที่ลงทุนไปแล้วจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างยาวนาน ก็ต้องเป็นหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ดีมีประสิทธิภาพ หรือมีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน ซึ่งนักลงทุนก็ต้องค้นหา วิเคราะห์ และคาดหวังผลตอบแทนจากหุ้นอย่างสมเหตุสมผล ด้วยสมมติฐาน ข้อมูล ความรู้ที่รอบด้าน
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้วิธีประเมินมูลค่าหุ้นยอดฮิตด้วย P/E Ratio และ P/BV Ratio เพื่อหาราคาที่เหมาะสมในการตัดสินใจลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Stock Valuation : Relative Valuation” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่