รีวิว 5 DRx ตัวใหม่ ประตูแห่งโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้น

โดย SET x KTB : เพิ่มศักดิ์ จักร์มงคลชัย ผู้อำนวยการฝ่าย Chief Investment Officer ธนาคารกรุงไทย
5 Min Read
24 มกราคม 2567
11.121k views
new DRx
In Focus

ธนาคารกรุงไทยจะมีการเปิดตัว DRx เพิ่มเติมอีก 5 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย จะมีบริษัทอะไรบ้าง มาทำความรู้จักกันเลย !!

ชาลส์ ดาร์วิน นักธรรมชาติวิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุดชาวอังกฤษได้เคยกล่าวไว้ว่า “ธรรมชาติไม่ได้คัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดหรือแข็งแรงที่สุด เพราะธรรมชาติไม่รู้หรอกว่าอะไรคือ ดี แข็งแรง หรือจะรู้ได้ว่าจะเลือกให้อะไรถูกพัฒนาขึ้นมา แต่เป็นสิ่งมีชีวิตต่างหากที่เลือกปรับตัวไปกับสภาพแวดล้อมในแต่ละพื้นที่ ในแต่ละเวลา ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป”

ตลาดการเงินเป็นหนึ่งในที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่องโดยมีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายอย่าง เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดอกเบี้ย ภาษี ประชากรศาสตร์ การเมืองภายในประเทศและต่างประเทศ เรื่องของโลกร้อน รวมไปถึงกฎหมาย กฎเกณฑ์ และข้อบังคับที่เปลี่ยนแปลงไป

ปี 2023 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือเป็นช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับนักลงทุน โดยทางสรรพากรจะเริ่มเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคลจากกำไรที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศนับตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป แต่ทางสรรพากรยังเปิดช่องให้เอาเงินลงทุนกลับได้แบบไม่เสียภาษีเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่นักลงทุนจะต้องขายการลงทุนในต่างประเทศภายในปี 2023 และนำเงินกลับในปีถัดไป แต่เมื่อเข้าปี 2024 กำไรจากการลงทุนในต่างประเทศของบุคคลธรรมดาจะต้องถูกนำมาคำนวณภาษีรายได้เมื่อมีการนำกลับมาในไทย ไม่ว่าจะปีไหนก็ตาม ส่งผลให้นักลงทุนในไทยมีการตื่นตัวกับคำสั่งล่าสุดของสรรพากรเป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีในวงกว้างว่า การลงทุนเฉพาะแต่ในประเทศ มันอาจจะไม่เพียงพอแล้วสำหรับโลกในยุคปัจจุบัน

ในแง่ของผลตอบแทนด้านการลงทุน ปี 2023 ถือเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยปรับตัวลดลงไปถึง 15.2% ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นกันได้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 24.2% ด้านดัชนี Nasdaq 100 ที่รวมหุ้น “New Economy” โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไว้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 53.8% ส่วนดัชนีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั้ง 7 หรือ Magnificent 7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้กว่า 100% โดยเฉพาะหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจด้าน AI อย่าง NVIDIA และ Microsoft ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นมาก หลังจากที่หุ้นในกลุ่มเหล่านี้ได้มีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในปี 2022 ที่สหรัฐฯ เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วและรุนแรง รวมไปถึงผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและเข้ามาซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อที่ค่อนข้างจะหนักหนาอยู่แล้ว

ผู้ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานในตลาดทุนได้เคยเผยแง่คิดที่น่าสนใจไว้ว่า “การลงทุนในตลาดหุ้นเปรียบเสมือนการปีนหน้าผาแห่งความคาดหวัง” เพราะในตอนที่เราลงทุน เราก็คาดหวังว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีและขยายธุรกิจไปได้ต่อเนื่อง แต่ระหว่างทางของการลงทุนก็จะมีปัจจัยบวกและลบต่าง ๆ ทั้งจากตัวบริษัทเองและปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามากระทบ ดังนั้น นักลงทุนจะต้องมีจิตใจที่มั่นคงหนักแน่น และติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ สำหรับความเสี่ยงที่น่าติดตามในปี 2024 จากความเห็นของผู้นำทางการเมืองและเศรษฐกิจจำนวน 1,490 ท่านที่สำรวจโดยสภาเศรษฐกิจโลกหรือ World Economic Forum พบว่า ความเสี่ยงที่น่ากังวลเป็นอันดับ 1 คือเรื่องของ “สภาพอากาศที่สุดขั้ว” มีความกังวลสูงถึง 66% จากการสำรวจ รองลงมาคือ “การนำ AI ไปใช้อย่างผิดวิสัย” 53% และอันดับ 3 คือ “ความแตกแยกของสังคมที่เกิดจากความเชื่อและความศรัทธาที่แตกต่างกัน” 46% แต่ความเสี่ยงที่มีความกังวลน้อยที่สุดกลับเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ นั่นคือ “ฟองสบู่ของหุ้นเทคโนโลยีจะแตก” 4% และ “ฟองสบู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะแตก” 4% เช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าผู้นำทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองมีความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจไม่มากนักและเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกที่นำโดยสหรัฐฯ ยังมีความแข็งแกร่งสูง แต่มีความกังวลในเรื่องอย่างภูมิอากาศ อาชญากรรมไซเบอร์ และการเมือง เป็นหลัก

ย้อนกลับไปในช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2022 ธนาคารกรุงไทยได้มีการเปิดตัว DRx ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนหุ้นต่างประเทศได้ง่าย ๆ ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้เปิดตัว DRx ของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 2 บริษัทอย่าง Apple (AAPL80X) และ Tesla (TSLA80X) ต่อจากนั้นในช่วงกลางปี 2023 ทางกรุงไทยได้เปิดตัว DRx เพิ่มเติมอีก 3 หลักทรัพย์นั่นคือ Microsoft (MSFT80X) Alphabet (GOOG80X) และ NVIDIA (NVDA80X) ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เพราะมีความสะดวกสบายในการลงทุน ใช้เงินบาทในการซื้อขาย และไม่ต้องเสียภาษีจากกำไรของส่วนต่างราคา (Capital Gain Tax) ช่วงเวลาสำหรับการซื้อขายก็เหมือนกับเวลาที่สหรัฐฯ โดยสามารถซื้อขายได้ตั้งแต่เวลา 20.00 น.ถึง 04.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย

มาถึงต้นปี 2024 ทางธนาคารกรุงไทยจะมีการเปิดตัว DRx เพิ่มเติมอีก 5 หลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้กับนักลงทุนไทยให้ได้เข้าถึงบริษัทที่มีสินค้า บริการ และตราสินค้าที่โดดเด่นในระดับโลก มาดูกันว่าบริษัทที่จะนำมาออกเป็น DRx จะมีบริษัทอะไรบ้าง มาทำความรู้จักบริษัทเหล่านี้ให้มากขึ้นกันเลยดีกว่า

(1) Amazon.com Inc. (AMZN80X)
- เมื่อพูดถึงบริษัท Amazon แล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะมีภาพขึ้นมาในหัวว่า นี่คือบริษัทค้าปลีกด้าน E-Commerce รายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ที่จริงแล้ว ทางบริษัทยังมีเครื่องยนต์แห่งการเติบโตหรือ Growth Engine หลักอีกหนึ่งธุรกิจ นั่นก็คือธุรกิจ Cloud Computing อย่าง Amazon Web Service (AWS) ที่ถือว่าเป็นเจ้าตลาดและยังเติบโตได้สูง

- ปัจจุบัน AWS มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 32% อันดับ 2 คือ Azure ของ Microsoft ที่ 22% นอกจากรายได้ของธุรกิจ E-Commerce และ Cloud Computing จะมีความแข็งแกร่งสูงแล้ว อีกธุรกิจที่เติบโตได้สูงมากของ Amazon คือ ธุรกิจโฆษณา ปัจจุบัน ผู้ทำธุรกิจ E-Commerce หันมาลงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Marketplace อย่าง Amazon เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีข้อมูลของลูกค้าว่าที่ผ่านมา ลูกค้าแต่ละคนเคยเปิดดูและซื้อสินค้าอะไร ทำให้การลงโฆษณาบน Marketplace มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูง

- ล่าสุด (ข้อมูลเมื่อปิดตลาดวันที่ 12.01.2024) จากการที่บริษัทมีสินค้าและบริการที่หลากหลายและเป็นผู้นำตลาด ทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากงบการเงินไตรมาสล่าสุด (Q3/2023) มีกำไรขั้นต้นที่ 46.2% และมีกำไรสุทธิที่ 3.6% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอยู่พอสมควรที่ 2.9% ROE เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 20% มีขนาด Market Cap ที่ 1.6 ล้านล้านเหรียญ ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

(2) Meta Platforms Inc. (META80X)
- Meta Platforms เจ้าของสื่อสังคมออนไลน์หรือ Social Media ชื่อดังอย่าง Facebook, Instagram และ WhatsApp จากข้อมูลล่าสุดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า จำนวนผู้ใช้งาน Facebook อย่างต่อเนื่องมีจำนวนทะลุ 3,000 ล้านคนไปแล้วเรียบร้อย ขณะที่จำนวนผู้ใช้งานสม่ำเสมอทุกวันมีจำนวนสูงถึง 2,090 ล้านคน เติบโตขึ้น 5.09% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประชากรอินเดียคือผู้ใช้งาน Facebook มากที่สุดที่ 385.6 ล้านคน รองลงมาคือสหรัฐฯ 188.6 ล้านคน และ อินโดนีเซีย 136.3 ล้านคน

- ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์ม E-Commerce ของจีนที่เน้นขายเครื่องแต่งกายอย่าง SHEIN และ Temu ที่มีกลยุทธ์ในการเจาะตลาดสหรัฐฯ ผ่านการโปรโมทอย่างหนักบนโซเชียลมีเดียชื่อดังอย่าง Facebook และ Instagram คาดว่าทั้งคู่ใช้งบโฆษณาสูงเกินกว่า 1,000 ล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา

- จากการประหยัดจากขนาดหรือ Economy of Scale ทำให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นที่สูงถึงกว่า 80% เล็กน้อย สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 60% และมีกำไรสุทธิเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 29% ขณะที่ในอุตสาหกรรมจะขาดทุนเป็นส่วนใหญ่ -12.6% ROE อยู่ที่ 24% บริษัทมีขนาดของ Market Cap ที่ 962,390 ล้านเหรียญ ใหญ่เป็นอันดับ 6 ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

จาก DRx ที่ได้เปิดตัวในปี 2022 – 2023 จำนวน 5 หลักทรัพย์ รวมกับ AMZN80X และ META80X ในปี 2024 ทำให้นักลงทุนไทยจะสามารถลงทุนในหุ้น 7 นางฟ้าหรือ Magnificent 7 ผ่าน DRx ได้ครบทุกหลักทรัพย์

(3) Netflix Inc. (NFLX80X)
- Netflix ผู้ให้บริการด้าน VDO Streaming รายใหญ่ที่สุดของโลก ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิก 247.15 ล้านคน (ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2023) ทำรายได้สูงถึง 24,891 ล้านเหรียญใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2023 และมีสัดส่วน 8% สำหรับเวลาที่คนทั่วโลกใช้ดู VDO Streaming

- ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่มีความท้าทายสูงสำหรับ Netflix โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 2 เหตุการณ์ (1) Netflix ได้เพิ่มแพ็คเกจรายเดือนแบบถูกซึ่งจะมีโฆษณาระหว่างการรับชมบ้าง โดยมีค่าบริการรายเดือนที่ $6.99 จากรายงานล่าสุด มีจำนวนสมาชิกที่ใช้แพ็คเกจนี้สูงเกินกว่า 15 ล้านคนแล้ว ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ (2) มาตรการจัดระเบียบการแชร์ username และ password ของคนที่อยู่กันคนละบ้าน การเคลื่อนไหวทั้ง 2 ส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อบริษัททั้งในแง่ของรายได้และจำนวนสมาชิก

- ช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า Netflix จะมีคู่แข่งเข้ามามากขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนส่วนใหญ่ที่ยอมจ่ายค่าสมาชิก VDO Streaming จะมี Netflix เป็นหลักเนื่องจากคอนเทนต์ที่หลากหลาย รวมไปถึงคอนเทนต์ exclusive ที่มีเฉพาะบน Netflix เท่านั้น

- บริษัทมีกำไรขั้นต้นเฉลี่ย 5 ปีที่ 39.4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 61.5% แต่เนื่องจากมีฐานลูกค้ามากที่สุด ส่งผลให้มีกำไรสุทธิที่ 12.6% ขณะที่ค่าเฉลี่ยจะขาดทุนที่ -12.6% ROE สูงระดับ 29% Netflix มีมูลค่า Market Cap ที่ 215,400 ล้านเหรียญ ใหญ่เป็นอันดับที่ 31 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

(4) Booking Holdings Inc. (BKNG80X)
- บริษัทผู้ให้บริการด้านการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และ ร้านอาหาร อย่างครบวงจรผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ทางบริษัทถูกจัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยอย่าง Travel Technology และเป็นหนึ่งในสมาชิกของดัชนี Nasdaq 100

- บริษัทเป็นผู้ให้บริการด้านการจองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่ครบวงจรและมีตราสินค้าที่เป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง เช่น Booking.com ผู้นำเสนอทางเลือกที่กว้างที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว Priceline.com ผู้นำในด้านการท่องเที่ยวที่มีราคาประหยัด Agoda.com ผู้นำเสนอทางเลือกการเดินทางทั่วโลกที่เป็นที่นิยมของคนเอเชีย Rentalcar.com บริการเช่ารถยนต์ออนไลน์ KAYAK ให้บริการด้านการเปรียบเทียบราคาของผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว OpenTable ผู้นำในการให้บริการด้านการจองร้านอาหารชื่อดังผ่านช่องทางออนไลน์

- ปัจจุบัน การท่องเที่ยวทั่วโลกได้ฟื้นตัวมาอยู่ในภาวะปกติแล้ว บางประเทศอาจจะมีการท่องเที่ยวที่คึกคักกว่าปี 2019 ก่อนการแพร่ระบาดของ Covid-19 เสียอีก จากรายงานประจำปีของ Booking พบว่าอัตราการจองโรงแรมในปี 2022 ก็มีการเติบโตจากปี 2019 ราว 6% แล้ว

- จุดเด่นของบริษัทอยู่ที่การให้บริการผ่านระบบออนไลน์ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้นสูงถึง 83% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 42% และมีกำไรสุทธิที่ 25.7% ฐานะการเงินแข็งแกร่งและไม่มีหนี้สินระยะยาวเลยแต่ ROE ยังสูงถึง 64% ปัจจุบัน บริษัทมีขนาดของ Market Cap ที่ 122,190 ล้านเหรียญ อยู่ที่อันดับ 69 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

(5) Starbucks Corporation (SBUX80X)
- บริษัทเชนร้านกาแฟชื่อดังผู้วางมาตรฐานใหม่ให้กับเชนร้านกาแฟทั่วโลกในวงกว้างนับตั้งแต่ยุค 90s ปัจจุบัน Starbucks มีสาขาทั่วโลกกว่า 38,000 สาขา โดยภูมิภาคอเมริกาเหนือคือตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท จากข้อมูล ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2023 สหรัฐฯ มีสาขา 16,346 สาขา แคนาดา 1,458 สาขา ถัดมา จีนคือตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของบริษัท โดยมีสาขาทั้งหมด 6,804 สาขา แม้แต่ไทยเองก็ถือว่ามีสาขาของ Starbucks ในระดับค่อนข้างสูงที่ 474 สาขา

- จากผลการดำเนินงานล่าสุด Starbucks ยังเติบโตได้ค่อนข้างดีตามการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง กำไรของปี 2023 เติบโตขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และทางบริษัทมีแผนที่จะนำเสนอเครื่องดื่มเมนูเย็นมากขึ้น เนื่องจากได้รับความนิยมมากขึ้นทั่วโลกจากภาวะโลกร้อน แต่บริษัทก็เจอกับปัจจัยด้านลบจากเรื่องโลกร้อนเช่นกันจากราคาเมล็ดกาแฟที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

- บริษัทมีกำไรขั้นต้นเฉลี่ย 5 ปีที่ 26.6% ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ 42% แต่มีกำไรสุทธิที่ 10.7% ดีกว่าอุตสาหกรรมมากจากการบริหารที่มีประสิทธิภาพและการประหยัดจากขนาด ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมขาดทุนที่ -22.2% ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งมากจากการที่ผู้ใช้งาน Starbucks Reward เติมเงินเข้ามาก่อนซื้อของ ทำให้ Starbucks มีเงินสดในมือสูงถึงกว่า 3,500 ล้านเหรียญ ล่าสุด Starbucks มีขนาด Market Cap ที่ 104,550 ล้านเหรียญ ใหญ่เป็นอันดับ 81 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ

new DRx
ถึงแม้ทั้ง 5 บริษัทจะเป็นบริษัทที่อยู่ในสหรัฐฯ แต่สินค้าและบริการได้กระจายไปทั่วโลก ผู้อ่านอาจจะได้ใช้บริการหรือซื้อสินค้าของบริษัทเหล่านี้กันอยู่แล้ว ยิ่งเราได้รู้ว่าสินค้าและบริการของบริษัทเหล่านี้มีคุณภาพอย่างไร ก็น่าจะยิ่งทำให้พวกเรามีความมั่นใจในตัวบริษัทมากขึ้น  โดย DRx ทั้ง 5 บริษัทจะเริ่มซื้อขายวันแรกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ โดยผู้ที่มีบัญชีซื้อขาย DRx อยู่แล้ว ก็สามารถส่งคำสั่งซื้อได้เลย ผ่านแอป Streaming ตั้งแต่เวลา 20.00 – 04.00 น. (เวลาประเทศไทย) และสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยซื้อขาย DRx มาก่อน ก็สามารถติดต่อโบรกเกอร์ ผู้ให้บริการซื้อขาย DRx ได้ที่ คลิกที่นี่ 

จากนี้ไป นักลงทุนไทยจะสามารถลงทุนในหุ้น Magnificent ทั้ง 7 อย่าง Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, NVIDIA, Meta และ Tesla ผ่าน DRx ได้ รวมถึงบริษัทชั้นนำอื่น ๆ อย่าง Netflix, Booking Holdings และ Starbucks

โอกาสและทางเลือกที่มากขึ้นจะทำให้นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ยืดหยุ่นมากขึ้น โลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วในอัตราเร่ง ความเสี่ยงในตลาดการเงินมีทั้งที่คาดการณ์ได้และคาดไม่ถึง เราได้ก้าวเท้าเข้าสู่ยุคของ AI มากยิ่งขึ้น ดังนั้น คุณภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทที่เราลงทุนจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น

DRx (Fractional Depositary Receipt) หรือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เราสามารถเข้าไปลงทุนในบริษัทระดับโลกได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม (ดูข้อมูลเกี่ยวกับ DRx เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/DRx)
แท็กที่เกี่ยวข้อง: