เมื่อพูดถึงประเทศที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี หนึ่งในประเทศที่หลายคนนึกถึง นั่นก็คือประเทศจีนนั่นเอง
โดยช่วงที่มีการระบาดของโควิด 19 ถือเป็นช่วงที่เทคโนโลยีของจีน พัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด เพื่อตอบสนองต่อวิถีชีวิตแบบ New Normal ที่มีการพึ่งพาเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทั้งในด้านการทำงาน ที่เน้นเทคโนโลยีติดต่อ และการทำงานทางไกล การบริการ ที่เน้นการจัดส่งหรือการซื้อขายออนไลน์แบบไร้สัมผัส และการเงินที่พัฒนาระบบสังคมไร้เงินสดอย่างจริงจัง หรือด้านสุขภาพ ที่มีการใช้เทคโนโลยีร่วมกับการวินิจฉัยและรักษาโรค ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
และปัจจุบันนี้ จีนก็ยังมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเมกะเทรนด์สำคัญ ไม่ว่าจะรถยนต์ EV, AI และ Chip จึงทำให้กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีของจีน เป็นที่จับตามองมาโดยตลอด
และในช่วงวันที่ 27 สิงหาคม 2566 เป็นต้นมา ก็ได้มีข่าวดีที่เกี่ยวข้องกับวงการตลาดหุ้นจีนโดยตรง จากการที่จีนประกาศลดภาษีขายหุ้นครั้งแรกในรอบ 15 ปี📉 โดยลดลงครึ่งหนึ่ง จากราคาอัตราปกติที่ 0.1% จะเหลือเพียง 0.05% เท่านั้น ซึ่งเป็นความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ของประเทศจีน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกลับมาอีกครั้ง
การปรับปรุงนโยบายเหล่านี้ ส่งผลดีต่อบริษัทจีนและตลาดหุ้นจีนอย่างมาก โดยเฉพาะกับกลุ่มบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีของจีน🤖 ที่ได้รับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์ของยุคนี้ ที่เกิดการเติบโตอย่างโดดเด่น จนสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญต่อตลาดโลกได้ในที่สุด 🌏
ซึ่งปัจจุบันนี้ SET ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทย สามารถลงทุนหุ้นเทคจีนได้ง่าย และสะดวกมากกว่าเดิม ผ่าน DR ในตลาดหลักทรัพย์ไทย แล้วหุ้นเทคจีนมีตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกัน
➡️ Alibaba (BABA80)
บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนที่โดดเด่นด้าน E-Commerce จนกลายเป็นตลาดค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก ซึ่งครอบคลุมธุรกิจแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี เครือข่ายอินเทอร์เน็ต บริการด้านโลจิสติกส์ สื่อดิจิทัล บันเทิง และอื่น ๆ อีกมากมาย
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า Alibaba มีธุรกิจคลาวด์แพลตฟอร์ม ที่มาเพิ่มโอกาสในเทรนด์ AI อีกด้วย จนทำให้ปัจจุบัน Alibaba กลายเป็นบริษัทด้าน Artificial Intelligence (AI) ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2023
โดยในไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2023 ที่ผ่านมา Alibaba สามารถสร้างรายได้ถึง 32.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีกำไร 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
➡️ Baidu (BIDU80)
บริษัท Search Engines อันดับ 1 ของจีน ที่ชาวจีนส่วนใหญ่รู้จักดี โดย Baidu ครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 69.52% ในจีน และมีผู้ใช้งานสูงถึง 677 ล้านคนต่อเดือน
ด้วยบริการที่หลากหลาย ทั้งแผนที่ ข่าวสาร สารานุกรม และบริการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ และยังเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มความบันเทิง และไลฟ์สตรีมมิงชื่อดังอย่าง iQiyi และ YY อีกด้วย
จึงทำให้ Baidu เป็นอีกหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่โดดเด่นอย่างมากบนเวทีโลก
ที่สำคัญ Baidu ยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ มาแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีอยู่เสมอ โดยเฉพาะการเข้าร่วมศึก AI กับคู่แข่งอย่าง ChatGPT ด้วยการเปิดตัว Ernie Bot ที่ถูกคาดการณ์ว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า ทั้งในการหาข้อมูล ตอบข้อสงสัย และสามารถใช้งานด้วยภาษาจีนได้อย่างละเอียด
โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2023 ที่ผ่านมา Baidu สร้างรายได้อยู่ที่ 4.70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผลกำไร 0.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
➡️ BYD (BYDCOM80)
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ EV อันดับ 1 ของจีน รวมถึงผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ และแบตเตอรี่ ที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ EV และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนเป็นอย่างมาก
จุดแข็งของ BYD คือการเป็นเจ้าของเทคโนโลยี Blade Battery ซึ่งเป็นแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ EV ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในขณะนี้ ที่แม้แต่ Tesla ยังต้องใช้บริการแบตเตอรี่ของ BYD จึงทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจุบัน BYD ได้ก่อตั้งเขตอุตสาหกรรมมากกว่า 30 แห่งทั่วโลก และปีที่แล้วยังสามารถทำยอดขายรถยนต์ EV แซงหน้า Tesla ด้วยยอดขายกว่า 1.86 ล้านคันทั่วโลกเลยทีเดียว
โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2023 ที่ผ่านมา BYD มีรายได้ในปีที่ผ่านมากว่า 35.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีกำไร 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
➡️ NetEase (NETEASE80)
บริษัทด้านอินเทอร์เน็ตและเกมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย โดยเป็นที่รู้จักมากสุดจากการให้บริการเกม PC (คอมพิวเตอร์) และเกมมือถือออนไลน์ และเป็นเจ้าของเกมฮิตมากมายทั้ง Identity V, Dead by Daylight Mobile, Marvel Super War, Onmyoji เป็นต้น ทั้งยังมีสตูดิโอผลิตผลงานทั้งในแคนาดา ยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
นอกเหนือจากธุรกิจเกมแล้ว NetEase ยังเป็นผู้นำด้านธุรกิจออนไลน์ในจีน ซึ่งมีทั้งธุรกิจโฆษณา บริการอีเมล ความบันเทิง การศึกษาออนไลน์ และ E-Commerce อีกด้วย สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ NetEase ได้ว่า ยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยไม่ใช่แค่ด้านเกมเท่านั้น
โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2023 ที่ผ่านมา NetEase มีรายได้ 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไร 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
➡️ Tencent (TENCENT80)
ธุรกิจแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดฮิตของจีนที่ครบครัน ทั้งไลฟ์สไตล์ ความบันเทิง รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่หลายคนคุ้นเคย อย่างแอป Joox, WeChat, QQ เป็นต้น โดยเฉพาะ WeChat ที่เป็นแอปพลิเคชันที่ชาวจีนใช้งานมากที่สุด มากกว่า 1.3 พันล้านคนต่อเดือน
นอกจากนี้ Tencent ยังลงทุนกับธุรกิจจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และความบันเทิง โดยเฉพาะธุรกิจเกม ที่นับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชียในเวลานี้ ด้วยการเป็นเจ้าของเกมดังสุดฮิตที่ใครก็รู้จักอย่าง Arena of Valor, League of Legends, PlayerUnknown's Battlegrounds และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2023 ที่ผ่านมา Tencent มีรายได้มากถึง 20.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไร 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
➡️ Xiaomi (XIAOMI80)
บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ผู้ผลิตและออกแบบสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน แบบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ไปจนถึงสมาร์ตโฟน ที่เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
โดย Xiaomi มีส่วนแบ่งการตลาดของสมาร์ตโฟนมากถึง 13.7% ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก Apple และ Samsung เท่านั้น
Xiaomi ยังมีส่วนร่วมในเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนากลยุทธ์ Smart Phone x AIoT เชื่อมต่อกับระบบ AI เข้ากับผลิตภัณฑ์ของบริษัท เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยตรง ทั้งยังเตรียมเปิดตัวเข้าสู่วงการตลาดรถยนต์ EV ในอนาคตอีกด้วย
โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2023 ที่ผ่านมา Xiaomi มีรายได้อยู่ที่ 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีกำไร 0.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
🗣️ นอกจากนักลงทุนจะสามารถลงทุนหุ้นจีนตัวท็อปผ่าน DR ได้แล้ว นักลงทุนไทยยังสามารถลงทุน DR ในกองทุน ETF หรือ Index ชั้นนำของจีนได้โดยตรงด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
กองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยอิงกับดัชนี CSI 300 ที่รวมหุ้น A-Shares ของบริษัทจีนยักษ์ใหญ่มากกว่า 300 หุ้น ในหลากหลายอุตสาหกรรมสำคัญ ทั้งกลุ่ม Financial (21.15%) กลุ่ม Industrial (15.41%) กลุ่ม Information Technology (15.19%) และอื่น ๆ ซึ่งครอบคลุมเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
กองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยอิงกับดัชนี Hang Seng TECH ที่คัดเลือกเฉพาะหุ้นจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน 30 หุ้น ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของธุรกิจเทคโนโลยีระดับโลก
กองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยอิงกับดัชนี STAR 50 ที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีประเภท Hard Tech มากถึง 50 ตัวด้วยกัน ที่มีการเติบโตยั่งยืน จากการสนับสนุนของรัฐบาลจีน
4.HK01และ HK13 อ้างอิง Tracker Fund of Hong Kong (2800 HK)
ตำนาน ETF ดัชนีตัวแรกของฮ่องกง ลงทุนอ้างอิงกับดัชนี Hang Seng ดัชนีเก่าแก่ที่รวมทั้งบริษัทจีนยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนในฮ่องกง
และบริษัทฮ่องกงชั้นนำกว่า 80 ตัว เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจในตลาดใหญ่โซนเอเชีย เช่น TENCENT,
ALIBABA และ MEITUAN เป็นต้น โดยที่
5. HKCE01 อ้างอิง Hang Seng China Enterprises กองทุน ETF รวม 50 บริษัทจีนระดับท็อป
กองทุน ETF ที่โฟกัสไปที่บริษัทจีนขนาดใหญ่ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงจำนวนกว่า 50 ตัว โดยใช้เกณฑ์ “Fast Entry” เพื่อเพิ่มโอกาสลงทุนบริษัทที่เพิ่ง IPO ที่น่าสนใจในประเทศจีน
DR จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาการลงทุนต่างประเทศในเวลานี้ 📌
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในประเทศจีนกับบริษัทชั้นนำระดับประเทศ ที่มีศักยภาพในการเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต ก็ไม่ควรพลาดลงทุนผ่าน DR เพราะ…
มีบัญชีหุ้นก็สามารถซื้อขายได้ แค่พิมพ์ค้นหาตามตัวย่อหลักทรัพย์ที่ต้องการซื้อขาย เลือกจำนวนและราคาที่ต้องการ เท่านี้ก็จะได้หุ้นจีน หรือ ETF จีน เข้าพอร์ตการลงทุนของเราเรียบร้อย
หรือเทรด DR ง่าย ๆ ผ่านแอป Streaming
สำหรับใครที่ยังไม่มีบัญชีหุ้น ก็สามารถติดต่อขอเปิดบัญชีซื้อขายได้กับบริษัทหลักทรัพย์ ได้ที่ https://www.setinvestnow.com/th/open-account-stock-eopen
สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และดูข้อมูลผลิตภัณฑ์ DR ตัวอื่น ๆ ได้ที่นี่