เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเห็นพาดหัวข่าวตามโทรทัศน์ หรือบนโลกออนไลน์ว่า วันนี้ SET เป็นบวก หรือลบเท่าไร แล้วเราเคยแอบสงสัยไหมว่า ดัชนี SET ที่ว่านี้คืออะไร แล้วตัวเลขที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ในแต่ละวันบอกอะไรกับเรา ถ้าอยากรู้ บทความนี้มีคำตอบ..
SET Index หรือ ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งหมด ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในแต่ละวัน จะบอกเราว่าสภาพตลาดในวันนั้นเป็นอย่างไร เช่น ถ้าดัชนีเป็นสีเขียว แสดงว่ามูลค่าตลาด “สูงกว่า” วันก่อนหน้า แต่ถ้าดัชนีเป็นสีแดง แสดงว่ามูลค่าตลาด “ต่ำกว่า” วันก่อนหน้า ซึ่งนักลงทุนนิยมใช้ SET Index เป็นตัวที่บอกว่าวันนั้นหุ้นขึ้นหรือลง
นอกจากดัชนี SET Index แล้ว ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังประกอบไปด้วยดัชนีอื่น ๆ อีกมาก เช่น
SET50
ดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 50 ตัวแรก ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงที่สุด เป็นกลุ่มหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงที่สุด
SET100
ดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 100 ตัวแรก ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด และสภาพคล่องในการซื้อขายสูงสุด 100 อันดับแรก หุ้นกลุ่มนี้มักเป็นหุ้นของบริษัทที่มีขนาดกลาง ค่อนไปทางบริษัทขนาดใหญ่ มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดไว้
mai
ดัชนีสะท้อนภาวะการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นของบริษัทขนาดเล็ก
เมื่อรู้แล้วว่าดัชนีราคาหุ้นคืออะไร พร้อมกับได้เห็นตัวอย่างของบางดัชนีไปแล้ว
ก็ต้องบอกว่า การลงทุนในดัชนี มีข้อดีหลายอย่าง ทั้งการลงทุนที่ไม่กระจุกตัวเกินไป เพราะได้กระจายลงทุนในหุ้นทั้งหมดของตลาดตามดัชนีที่อ้างอิง ทำให้พอร์ตเติบโตไปพร้อมกับดัชนีนั้น ๆ อย่างเช่น ถ้าเราลงทุนในดัชนี SET100 ก็เหมือนว่าเราได้ซื้อหุ้น 100 ตัวแรกของตลาดหุ้นไทย ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ซึ่งหากว่าเศรษฐกิจประเทศไทยเติบโต หรือหุ้นของบริษัทในดัชนี SET100 มีผลประกอบการที่ดี เข้าตานักลงทุน ก็อาจสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับเราได้
นอกจากนี้ การลงทุนอิงดัชนียังมีค่าธรรมเนียมต่ำ เพราะใช้วิธีลงทุนแบบ Passive Fund ที่สร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีที่อ้างอิง ทำให้ผู้จัดการกองทุนไม่ต้องออกแรงวิเคราะห์เหมือนกับ การลงทุนแบบ Active Fund นั่นเอง อีกทั้งการลงทุนในดัชนี ยังเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะกับมือใหม่ที่สนใจเริ่มลงทุนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจคุ้นเคยกับการลงทุนรูปแบบดังกล่าว ผ่าน กองทุนดัชนี (Index Fund) ที่ต้องซื้อผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ. แต่รู้ไหมว่าจริง ๆ แล้ว เรายังสามารถลงทุนในดัชนีได้ง่าย ๆ ผ่านตลาดหุ้นไทย โดยใช้บัญชีซื้อขายเดียวกันกับบัญชีหุ้น โดยเราเรียกการลงทุนนี้ว่า กองทุน ETF
ETF ย่อมาจาก Exchange Traded Fund เป็นกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่มีนโยบายการลงทุนตามดัชนีต่าง ๆ เช่น ดัชนีหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และตราสารหนี้ เป็นต้น โดยพยายามสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ใช้อ้างอิง แต่ต้องบอกว่า จุดที่ทำให้ ETF ต่างจากกองทุนดัชนีทั่วไป คือ ETF เป็นกองทุนรวมที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง ที่สามารถซื้อขายได้แบบ Real Time ตามเวลาทำการของตลาดหุ้น จึงสามารถซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ต่าง ๆ ได้เลย
ในขณะที่กองทุนดัชนี จะต้องซื้อขายผ่าน บลจ. และจะต้องซื้อขายตามเวลาที่ บลจ. กำหนด ซึ่งก็ต้องมาลุ้นราคา NAV ตอนสิ้นวัน ดังนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่า ETF มีความสะดวกในการซื้อขายมาก ๆ
จุดเด่นของ ETF
- ช่วยกระจายความเสี่ยง เช่น ลงทุนใน ETF ที่อิงดัชนี SET100 ก็เหมือนเราได้ซื้อหุ้นทีเดียว 100 ตัว
- รู้ราคาซื้อขายได้แบบ Real Time
- ซื้อง่าย ขายคล่อง เหมือนหุ้นตัวหนึ่งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ
- ค่าธรรมเนียมต่ำ เนื่องจากกองทุนส่วนใหญ่เป็น Passive Fund
- มีผู้ดูแลสภาพคล่องอยู่ตลอดเวลา
และด้วยจุดเด่นที่หลากหลายนี้เอง จึงทำให้ ETF เป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่เหมาะกับมือใหม่มาก ๆ
ปัจจุบันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มี ETF ที่อิงดัชนีหุ้น ในประเทศไทยทั้งหมด 7 ตัว ได้แก่
1DIV
อ้างอิงผลตอบแทนดัชนี SET High Dividend 30 Index หรือ SETHD ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นปันผลสูงจำนวน 30 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ฯ
เหมาะกับคนที่อยากลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่า และสภาพคล่องสูง รวมถึงมีเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ
การซื้อ ETF ตัวนี้ตัวเดียว เสมือนว่าเราได้ซื้อหุ้นปันผลสูงจำนวน 30 ตัว ในดัชนี SETHD พร้อม ๆ กัน
BMSCG
อ้างอิงผลตอบแทนดัชนี BCAP Mid Small Cap CG Index TR ซึ่งเป็นดัชนีที่คัดเลือกหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่มีธรรมาภิบาล และมีสภาพคล่องสูง
สำหรับใครที่ชื่นชอบหุ้นเติบโต พร้อมคาดหวังผลตอบแทนที่ดี มีคุณภาพ จากหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง BMSCG ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี
BMSCITH
อ้างอิงผลตอบแทนดัชนี MSCI Thailand ex Foreign Board Index โดยดัชนีนี้เป็นดัชนีที่นักลงทุนต่างชาติใช้ดูในการลงทุนหุ้นไทยนั่นเอง อีกทั้งตัวดัชนี MSCI Index ก็เป็นดัชนีที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอีกด้วย
สำหรับใครที่อยากลงทุนในหุ้นที่กองทุนต่างชาติให้ความสนใจ BMSCITH เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์มาก
BEST100
อ้างอิงผลตอบแทนดัชนี SET100 Total Return Index ซึ่งเป็นดัชนีที่คัดกรองหุ้นที่มีมูลค่าทางการตลาด (Market Cap) และมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง 100 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ตอบโจทย์คนที่อยากกระจายการลงทุน ในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลัก ๆ ของประเทศ
TDEX
อ้างอิงผลตอบแทนดัชนี SET50 ที่เป็นดัชนีรวบรวมหุ้น 50 อันดับแรกที่ผ่านเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ พื้นฐานดี และได้รับความนิยมจากนักลงทุน
ใครที่อยากลงทุนในระยะยาว ด้วยการเป็นเจ้าของหุ้นขนาดใหญ่ ตัวนี้เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
ENGY และ ENY
อ้างอิงดัชนี SET Energy & Utilities Sector Index ที่เป็นดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค
เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบธุรกิจกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทย โดยเราสามารถเลือกลงทุนได้ทั้ง 2 กองทุน ขึ้นอยู่กับว่ากองทุนไหนที่เราอยากลงทุนด้วย
นอกจาก ETF ที่ลงทุนในหุ้นสัญชาติไทยแท้ทั้ง 7 ตัว ที่กล่าวมาแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมี ETF อื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายตัว โดยอ้างอิงดัชนีที่แตกต่างกันออกไป เช่น ดัชนีหุ้นต่างประเทศ ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีตราสารหนี้ เป็นต้น
ถึงตรงนี้แล้ว ใครที่อยากลงทุน ETF ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เราก็มีวิธีง่าย ๆ มาฝาก โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี
- กรณี มีบัญชีหุ้นอยู่แล้ว
สามารถซื้อขายได้ทันที เพียงพิมพ์ชื่อย่อ ETF ที่สนใจ ก็สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นเลย หรือ ไปที่เมนู “Watch” จากเมนูย่อยด้านบน และเลือกหัวข้อ “SET” แล้วเลื่อนลงมากด “.ETFs”
หน้าจอจะแสดงรายชื่อ ETF ทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ฯ สนใจตัวไหนก็คลิกที่ชื่อตัวนั้น และกดที่เมนู “Buy/Sell” จากแถบเมนูด้านล่าง เพื่อส่งคำสั่งซื้อขาย
- กรณี ยังไม่มีบัญชีหุ้น
สามารถเปิดบัญชีหุ้นแบบออนไลน์ได้กับบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ต่าง ๆ ได้
4 เคล็ดลับ ใช้คัดเลือกโบรกเกอร์ที่ใช่
สนใจเปิดบัญชีหุ้น คลิกที่นี่: https://www.setinvestnow.com/th/open-account-stock-eopen
ในยุคที่เต็มไปด้วยสินทรัพย์ทางการลงทุนมากมาย ETF นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยการผนวกจุดเด่นระหว่าง “หุ้น” และ “กองทุนรวม” เข้าด้วยกัน จึงเหมาะสำหรับคนที่อยากกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน
สิ่งสำคัญคือ นักลงทุนควรเลือกประเภท ETF ให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง
รวมถึงพิจารณาความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ก่อนตัดสินใจลงทุน..