ทุกวันนี้เทคโนโลยีไม่ใช่แค่เทรนด์อีกต่อไป แต่กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของทุกคนแล้ว
ซึ่งเราจะเห็นได้จากการพัฒนา AI ที่ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เราเกิดคำถามว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งโลกของเราขาดสิ่งเหล่านี้ไป คงจะทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นั่นจึงทำให้ธุรกิจเทคโนโลยีได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเทรนด์ AI นี้ไปเต็ม ๆ
จะเห็นได้จากการที่นักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ได้กล่าวว่า ภายในปี 2568 การลงทุนใน AI และเทคโนโลยีอาจจะมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ข้อมูลจาก PWC ได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 AI จะสามารถช่วยเพิ่ม GDP ทั่วโลกได้กว่า 15.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็มีหลากหลาย ดังนั้น ในวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูบริษัทเทคโนโลยี ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ AI ที่เกิดขึ้น
Nvidia
ก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะมองว่า Nvidia เป็นบริษัทผลิตการ์ดจอที่ใช้ในการเล่นเกมเท่านั้น แต่ว่าในปัจจุบัน การ์ดจอนี้ได้ถูกนำไปใช้ในธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้าน Cloud Computing รถยนต์ที่ไร้คนขับ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ในด้าน AI นั่นเอง
ด้วยกระแสของ AI ที่ถูกพูดถึงในช่วงที่ผ่านมา จึงผลักดันให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า Nvidia มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเหนือความคาดหมายของใครหลายคน
และความโดดเด่นของธุรกิจนี้ ทำให้ในช่วงปี 2564 ที่วงการคริปโทได้รับความนิยม คนจึงหันมาใช้การ์ดจอของ Nvidia ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการขุดคริปโท และในช่วงที่คริปโทถดถอย ก็ยังมีกระแส AI เข้ามา จึงทำให้ Nvidia กลับมาเติบโตอีกครั้งหนึ่ง เพราะบริษัทอื่น ๆ จะต้องพึ่งพาการ์ดจอจาก Nvidia อีกด้วย
ทำให้นักวิเคราะห์จาก Mizuho Bank ได้มีการคาดการณ์เอาไว้ว่า Nvidia จะยังคงรักษาตำแหน่ง ในการเป็นผู้นำทางด้านชิปสำหรับ AI ไปจนถึงปี 2570 เป็นอย่างน้อย จึงอาจสะท้อนถึงความต้องการของตลาดในด้าน AI และการเติบโตของบริษัทในอนาคต
นอกจากจะมีบริษัทที่เป็นผู้ผลิตชิปแล้ว ยังมีบริษัทอื่น ๆ ที่นำชิปเหล่านี้จากผู้ผลิตไปใช้ในการพัฒนา AI เพื่อให้มีความฉลาด สามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดศึก AI ด้านแชตบอต ที่หลายบริษัทระดับโลกต่างพัฒนาขึ้นมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
Microsoft
แม้เราจะรู้จัก Microsoft ในฐานะผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ของโลก แต่รู้หรือไม่ว่า Microsoft ยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของ OpenAI อีกด้วย
ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา ก็ได้เปิดตัว ChatGPT แชตบอตอัจฉริยะ ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่คนทั่วโลก เพราะสามารถโต้ตอบได้ทุกคำถามอย่างเป็นธรรมชาติเสมือนมนุษย์ จนถูกนำไปใช้หลายด้าน ทั้งการเขียนโปรแกรม การคำนวณทางคณิตศาสตร์ ไปจนถึงด้านความคิดสร้างสรรค์ จนมียอดผู้ใช้งานทะลุ 1 ล้านคน ในเวลาแค่ 5 วันเท่านั้น ต่างจาก Facebook ที่ต้องใช้เวลาถึง 10 เดือนเลย (สถิติจาก Statista )
ขณะเดียวกัน Microsoft ก็ได้นำ 3 เทคโนโลยี จาก OpenAI ไปปรับใช้กับบริการต่าง ๆ เช่น
- GPT-3 เทคโนโลยีที่สามารถผลิตและวิเคราะห์ข้อความต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานของ ChatGPT
- Codex AI ที่เข้าใจภาษาและการประมวลผลในรูปแบบของโคดคอมพิวเตอร์
- Dall-E AI ที่เข้าใจภาษา และสร้างรูปภาพได้
เทคโนโลยีทั้ง 3 แบบนี้ ก็มีการนำไปใช้ใน Bing หรือเซิร์ชเอนจิน ของ Microsoft ที่ได้นำเทคโนโลยี GPT-3 มาใช้ ทำให้มีความต่างจาก ChatGPT ตรงที่ข้อมูลที่แสดงออกมา จะไม่ได้มีถึงแค่ปี 2564 เท่านั้น และยังสามารถช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล พร้อมทั้งมีคำแนะนำจาก AI ในเรื่องนั้น ๆ ด้วย หรือจะเป็นบริการ Microsoft Designer ที่ใช้ Dall-E ที่เป็น AI มาสร้างสรรค์ภาพ งานกราฟิกต่าง ๆ
จากทั้งหมดนี้ จะเห็นได้เลยว่าทาง Microsoft เองก็ได้นำ AI ไปต่อยอดในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของตัวเอง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลกได้เร็วขึ้น
จากการแข่งขันที่ดุเดือดในวงการเทคโนโลยีที่บริษัทใหญ่ ๆ ต่างพากันพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการเกี่ยวกับ AI ของตนเองขึ้นมา ทำให้ Google เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมาแข่งขันเช่นกัน อย่าง Bard ที่เปิดตัวไปในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และได้มีการอัปเดต เพื่อให้การใช้งานดียิ่งขึ้นอีกครั้งในเดือนมีนาคม
โดย Bard มีความสามารถรอบด้าน เสมือนเป็นผู้ช่วยที่มาอำนวยความสะดวกให้เรา ในด้านการค้นหาข้อมูล คิดไอเดียใหม่ ๆ ในการทำงานผ่าน Google Workspace ซึ่ง Brad ก็สามารถตอบกลับเราเป็นรูปภาพ หรือจะเป็นการให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เรียลไทม์ ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ ทั้งยังสามารถสร้างสรรค์ภาพใหม่ ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้งานได้อีกด้วย
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้เป็นยุคทองของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่สร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้ผลิตชิป ไปจนถึงผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ออกมาในตลาด เห็นแบบนี้แล้ว เราก็คงไม่อยากจะพลาดโอกาสที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ และยังมีแนวโน้มจะเติบโตได้อีกมากในอนาคต จากความต้องการของผู้บริโภคที่มีมากขึ้น
แต่การจะไปลงทุนในหุ้นของบริษัทต่างประเทศ ก็อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ดังนั้น วันนี้เราจึงมีทางเลือกการลงทุนอย่าง ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ DRx (Fractional Depositary Receipt) ที่มีบริษัทเกี่ยวข้องกับกระแส AI ให้เลือกลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อทำให้การลงทุนในบริษัทต่างประเทศทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ได้แก่
NVDA80X อ้างอิงกับบริษัท Nvidia
MSFT80X อ้างอิงกับบริษัท Microsoft
GOOG80X อ้างอิงกับบริษัท Alphabet
ซึ่งการลงทุนด้วย DRx ก็สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็น
✓ ลงทุนได้ผ่านแอป Streaming แอปพลิเคชันเดียวกับที่ใช้เทรดหุ้นไทย
✓ ซื้อขายตามเวลาตลาดของหลักทรัพย์ต่างประเทศที่อ้างอิง
✓ เงินน้อยก็ลงทุนได้ โดยซื้อขายด้วยสกุลเงินบาท
และสำหรับใครที่มีบัญชีหุ้นอยู่แล้ว สามารถแจ้งความประสงค์เพื่อซื้อขาย DRx ผ่านแอป Streaming ได้ด้วยตนเอง โดยกดปุ่ม My Menu เลือก DRx จากนั้นก็กด Request DRx Trading
หรือสำหรับใครที่ยังไม่มีบัญชีหุ้นก็สามารถเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขาย DRx ได้เลย
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DRx คลิกที่นี่: www.setinvestnow.com/drx