ตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย โดยมีขนาดใหญ่ติด 10 อันดับแรกของโลก ด้วยมูลค่าตลาดประมาณ 172 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566) สะท้อนถึงเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการลงทุนในบริษัทจีนชั้นนำ เช่น Alibaba, Tencent และ Xiaomi เป็นต้น
ปัจจุบันตลาดหุ้นฮ่องกงมี 3 ดัชนีเรือธงที่ได้รับความนิยมในระดับสากล ได้แก่ ดัชนี Hang Seng ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยกันดีในหมู่นักลงทุนไทย เป็นดัชนีที่สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นฮ่องกง และนักลงทุนไทยมักใช้เป็นดัชนีชี้นำก่อนที่ตลาดหุ้นไทยจะเปิดซื้อขาย ต่อมาคือ ดัชนี Hang Seng China Enterprises เน้นรวบรวมบริษัทจีนชั้นนำในตลาดหุ้นฮ่องกง ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ดัชนี Hang Seng และสุดท้ายคือ ดัชนี Hang Seng TECH เน้นรวบรวมบริษัทจีนที่มีธุรกิจแบบ New Economy ในตลาดหุ้นฮ่องกง ที่นักลงทุนไทยสามารถเลือกลงทุนได้ผ่าน DR “CNTECH01” ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเมื่อปี 2565
ดัชนี Hang Seng จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2512 โดย Hang Seng Bank หนึ่งในธนาคารชั้นนำและขนาดใหญ่ของฮ่องกง (ปัจจุบันบริหารจัดการโดยบริษัท Hang Seng Indexes บริษัทลูกของ Hang Seng Bank) เริ่มแรกดัชนีมีหุ้นเพียง 33 ตัว แต่ก็มีการพัฒนาโดยทยอยเพิ่มหุ้นในดัชนีขึ้นเป็น 50 ตัวในปี 2555 จนถึงเมื่อปี 2563 ได้มีการปรับโฉมดัชนีครั้งใหญ่ ด้วยแผนการเพิ่มหุ้นในดัชนีขึ้นสู่ 100 ตัวในระยะยาว เพื่อให้ดัชนีสามารถสะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นฮ่องกงได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
โดยปัจจุบันมีหุ้นเข้ามาซื้อขาย 82 ตัว ประกอบด้วยบริษัทจีนยักษ์ใหญ่ เช่น Alibaba, Tencent หรือ Meituan รวมถึงบริษัทฮ่องกงชั้นนำ เช่น AIA, HSBC หรือ HKEX เป็นต้น โดยครอบคลุมประมาณ 65% ของมูลค่าตลาดหุ้นฮ่องกงทั้งหมด (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566) นอกจากนี้ มีแผนการที่จะคงจำนวนบริษัทฮ่องกงให้อยู่ที่ประมาณ 20 – 25 ตัวในดัชนี เพื่อคงจุดเด่นของ Hang Seng ที่เป็นดัชนีที่ได้รับความนิยมในการสะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นฮ่องกงมากที่สุด หลังจากบริษัทจีนนิยมมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงมากขึ้น
หากนึกถึงดัชนี Hang Seng ก็ต้องพูดถึง ETF ระดับตำนานของฮ่องกงอย่าง Tracker Fund of Hong Kong (2800) ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี Hang Seng และเป็นผู้บุกเบิกตลาด ETF ในฮ่องกงเป็นตัวแรก จัดตั้งโดยรัฐบาลฮ่องกงเมื่อปี 2542 เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดหุ้นฮ่องกงหลังจากวิกฤติการเงินในเอเชียเมื่อปี 2540
โดยปัจจุบัน Tracker Fund of Hong Kong ได้รับการบริหารโดย Hang Seng Investment Management ผู้ออก ETF อันดับ 1 ของฮ่องกงในแง่ของสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) โดย Tracker Fund of Hong Kong ถือเป็น ETF ที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูงที่สุดในตลาดหุ้นฮ่องกง ด้วยมูลค่า AUM ประมาณ 5.6 แสนล้านบาท มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 27,000 ล้านบาท ใน 12 เดือนที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566)
จากสถิติและข้อมูลดังกล่าว ตลาดหุ้นฮ่องกงจึงยังเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน เนื่องจากประกอบด้วยบริษัทจีนและฮ่องกงที่เป็นที่รู้จักในระดับสากล ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจจีนและฮ่องกงในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนไทย หากสนใจลงทุนในดัชนี Hang Seng ก็สามารถลงทุนได้สะดวกและมีประสิทธิภาพผ่าน
DR (Depositary Receipts) หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยผู้ออก DR (ณ ที่นี้ คือ บล.บัวหลวง) จะเป็นคนไปซื้อ ETF ที่อ้างอิงดัชนี Hang Seng แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาทอีกต่อหนึ่ง ซึ่งมีข้อดี คือ
โดย DR ของดัชนี Hang Seng ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย มีชื่อย่อในการซื้อขายคือ “HK01” ซึ่งมีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Tracker Fund of Hong Kong (2800.HK) โดยมีอัตราอ้างอิงที่ 1 หลักทรัพย์อ้างอิงต่อ 5 DR ซึ่งหาก Tracker Fund of Hong Kong ราคาอยู่ที่ 17.70 ฮ่องกงดอลลาร์ และอัตราแลกเปลี่ยน HKD/THB อยู่ที่ 4.54 บาทต่อ 1 ฮ่องกงดอลลาร์ แปลว่า เมื่อแปลงเป็นเงินบาทราคา Tracker Fund of Hong Kong อยู่ที่ราว 80.36 บาทต่อ 1 หุ้น แต่เมื่อแปลงเป็น DR ด้วยอัตรา 1:5 แล้ว ราคา DR “HK01” จะอยู่ที่ประมาณ 16.10 ทำให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
เนื่องจากราคาของ DR HK01 จะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวสอดคล้องไปกับราคา Tracker Fund of Hong Kong ETF ในระยะยาว ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนใน HK01 คือ ช่วงที่ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดทำการพร้อมกัน คือ เวลา 10:00 – 11:00 น. และ 12:00 – 15:00 น. ตามเวลาประเทศไทย |
นักลงทุนที่สนใจ ลงทุนใน DR “HK01” สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะสัญญา สินทรัพย์อ้างอิง ผลตอบแทน ความเสี่ยง และกลยุทธ์การลงทุนใน SET50 Futures และ Stock Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงและทำกำไรในแต่ละสภาวะตลาด สามารถเรียนรู้ได้ผ่าน e-Learning หลักสูตร “รอบรู้ลงทุน SET50 & Stock Futures” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่