ลงทุนธุรกิจต้นกำเนิดเทคโนโลยีโลก ASML

“เซมิคอนดักเตอร์” หรือ “ชิป” คำเหล่านี้อาจดูไกลตัวสำหรับผู้คน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นสิ่งใกล้ตัวกว่าที่คิด โดยชิปนั้นแฝงอยู่ในอุปกรณ์ที่ทุกคนใช้กันอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ตู้เย็น รถยนต์ หรืออุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น แต่กว่าชิป 1 ชิ้นจะถูกผลิตออกมาได้จะต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน รวมถึงมีบริษัทที่เกี่ยวข้องตาม Supply Chain ในอุตสาหกรรมมากมาย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่

• ผู้ผลิตเครื่องผลิตชิป จัดอยู่ในกลุ่มต้นน้ำ
• ผู้ผลิตชิป ที่รับจ้างผลิตชิปให้แก่บริษัทอื่น ๆ
• ผู้ออกแบบชิป ที่ออกแบบเทคโนโลยีบนชิปและส่งให้ผู้ผลิตชิป
• ผู้ผลิตครบวงจร ซึ่งทำตั้งแต่ออกแบบ ผลิต และจำหน่าย

กลุ่มผู้ผลิตเครื่องผลิตชิปจัดเป็นกลุ่มต้นน้ำของอุตสาหกรรมชิป ปัจจุบันมีบริษัท ASML Holding N.V. (ASML) เป็นผู้นำในกลุ่มนี้ โดย ASML เริ่มก่อตั้งในปี 2527 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้ผลิตและพัฒนาเครื่องจักรสำหรับพิมพ์ลายลงบนชิปให้แก่บริษัทผู้ผลิตชิปทั่วโลก เช่น TSMC, Samsung และ Intel เป็นต้น โดยเครื่องผลิตชิปที่บริษัทขายแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก

• เครื่อง Deep Ultraviolet Lithography (DUV) มีราคาต่อเครื่องเฉลี่ยราว 950 ล้านบาท มักใช้กับการผลิตชิปทั่วไป เช่น ชิปในอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
• เครื่อง Extreme Ultraviolet Lithography (EUV) มีราคาต่อเครื่องเฉลี่ยราว 6,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นเครื่องที่มีความละเอียดสูงกว่าเครื่อง DUV และปัจจุบันมีเพียง ASML เจ้าเดียวในโลกที่ทำ โดยสามารถพิมพ์ลวดลายที่ซับซ้อนลงบนชิป มักใช้ในการผลิตชิปขั้นสูงซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 7 นาโนเมตรลงไป เช่น ชิปในสมาร์ทโฟน เป็นต้น ส่งผลให้ ASML สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเครื่องผลิตชิปเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ราว 80% ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง Nikon ที่มีส่วนแบ่งเพียง 7% (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566)

ยิ่งไปกว่านั้น ASML กำลังส่งมอบเครื่องรุ่นใหม่ High Numerical Aperture Extreme Ultraviolet Lithography (High-NA EUV) ที่ต่อยอดเทคโนโลยี EUV ให้แก่ลูกค้ารายแรก คือ Intel ภายในสิ้นปี 2566 โดยเครื่อง High-NA EUV มีราคาต่อเครื่องราว 14,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 2 นาโนเมตรได้ สอดคล้องกับกระแสของโลกในปัจจุบันที่บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างทุ่มเงินลงทุนเพื่อพัฒนา AI ซึ่งต้องใช้ชิปขั้นสูงในการพัฒนาและประมวลผล โดยเครื่องผลิตชิปรุ่นดังกล่าวมียอดจองเต็มไปแล้วจนถึงปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีของ ASML ที่นำคู่แข่งในตลาดไปหลายช่วงตัว จึงกล่าวได้ว่าบริษัทมีความสำคัญและเป็นที่สุดแห่งต้นน้ำมากที่สุดในอุตสาหกรรมชิป จึงมีแนวโน้มเติบโตตามความก้าวหน้าของโลกเทคโนโลยีในระยะยาว

โดยหากนักลงทุนไทยสนใจ ซื้อหุ้น ASML สามารถลงทุนหุ้นตัวนี้ผ่าน DR (Depositary Receipts) หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยผู้ออก DR (ณ ที่นี้ คือ บล.บัวหลวง) จะเป็นคนไปซื้อหุ้น ASML แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาทอีกต่อหนึ่ง ซึ่งมีข้อดี คือ

• ลงทุนง่ายผ่านแอป Streaming ที่ใช้ซื้อหุ้นไทย เพียงแจ้งความประสงค์เพื่อซื้อขาย DR กับโบรกเกอร์ที่ให้บริการ
• เงินน้อยก็เป็นเจ้าของหุ้นระดับโลกได้ แถมยังเลือกส่งคำสั่งเป็นจำนวนบาทได้
• รับสิทธิประโยชน์เสมือนซื้อหุ้นต่างประเทศนั้นโดยตรง เช่น เงินปันผล
• ติดตามความเคลื่อนไหวได้สะดวก ซื้อขายตามเวลาตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศที่หลักทรัพย์อ้างอิงจดทะเบียนอยู่

โดย DR ของหุ้น ASML ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย มีชื่อย่อในการซื้อขายคือ “ASML01” ซึ่งมีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นสามัญ ASML Holding N.V. ที่จดทะเบียนในตลาด Euronext Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีอัตราอ้างอิงที่ 1 หลักทรัพย์อ้างอิงต่อ 1,200 DR เช่น หากหุ้น ASML ราคาอยู่ที่ 632 ยูโร และอัตราแลกเปลี่ยน EUR/THB อยู่ที่ 38.75 บาทต่อ 1 ยูโร แปลว่า เมื่อแปลงเป็นเงินบาทราคาหุ้น ASML จะอยู่ที่ราว 24,606 บาท ต่อ 1 หุ้น แต่เมื่อแปลงเป็น DR ด้วยอัตรา 1:1,200 ราคา “ASML01” จะอยู่ที่ประมาณ 20.50 บาท ทำให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และใช้เงินลงทุนน้อยลง

นักลงทุนที่สนใจ ลงทุนใน DR “ASML01” สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ >> คลิกที่นี่

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะสัญญา สินทรัพย์อ้างอิง ผลตอบแทน ความเสี่ยง และกลยุทธ์การลงทุนใน SET50 Futures และ Stock Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงและทำกำไรในแต่ละสภาวะตลาด สามารถเรียนรู้ได้ผ่าน e-Learning หลักสูตร “รอบรู้ลงทุน SET50 & Stock Futures” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่