เงินดิจิทัล ค่าเงินบาท และกลยุทธ์ลงทุน USD Futures

โดย รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง
3 Min Read
6 ธันวาคม 2566
2.48k views
TSI_Article_535_Inv_เงินดิจิทัล ค่าเงินบาท และกลยุทธ์ลงทุน USD Futures_Thumbnail
Highlights
  • หากรัฐบาลเริ่มโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอาจมีผลกระทบต่อค่าเงินบาท นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่า หรืออาจมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างผันผวนสูง

  • หากค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอ่อนหรือแข็งค่า ผู้ประกอบการนำเข้า – ส่งออก หรือนักลงทุนที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศย่อมได้รับผลกระทบ การบริหารความเสี่ยงค่าเงิน จึงเป็นเรื่องสำคัญ

  • เครื่องมือทางการเงินที่ถูกกฎหมายและใช้ในการป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าเงิน คือ สัญญาซื้อขายสินค้าล่วงหน้า (Futures) ที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้ป้องกันความเสี่ยง รวมถึงใช้เก็งกำไรค่าเงินได้อีกด้วย

ถ้าถามว่ากระแสเรื่องอะไรที่มาแรงและเป็นที่พูดถึงกันทั้งประเทศในช่วงนี้ คงไม่มีเรื่องไหนที่จะดังไปกว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะอธิบายถึงรายละเอียดของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในช่วงแรกจะพาไปทำความรู้จักกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลอาจนำมาใช้ในการส่งผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้ หลังจากนั้นจะไปดูถึงผลกระทบเบื้องต้นของโครงการดังกล่าวที่มีต่อค่าเงินบาท และสุดท้ายคือการนำ USD Futures ไปใช้ในการบริหารความเสี่ยงครับ

 

ข้อมูลจากหนังสือ เงิน: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต (Money : Past, Present and Future) เขียนโดยรองศาสตราจารย์ ดร.คณิสร์ แสงโชติ ระบุไว้ว่าในปี 2560 ท่ามกลางความนิยมในสินทรัพย์ดิจิทัล กระตุ้นให้ธนาคารกลางทั่วโลกหันมาสนใจที่จะพัฒนา Central Bank Digital Currency (CBDC) เพื่อที่จะนำเทคโนโลยี Blockchain มาปรับใช้กับระบบการเงินภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนของเงินตราในรูปแบบเงินดิจิทัล ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้สร้าง CBDC

 

โดยวิธีการสร้างนั้นจะไม่เหมือนกับคริปโทเคอร์เรนซี แต่จะใช้เงิน Fiat ที่ออกโดยรัฐบาลแทน (หมายถึง เงิน 1 บาทดิจิทัล จะถูกหนุนหลังด้วยเงิน 1 บาท) และข้อดีของ Blockchain จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถเขียนชุดคำสั่งโดยเฉพาะได้ หรือที่เรียกว่า Smart Contract เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการแจกเงินของรัฐบาล ที่ระบุประเภทของสินค้าที่สามารถซื้อได้ ระยะเวลา และที่อยู่อำเภอตามบัตรประชาชนไว้อย่างชัดเจน โดยจะใช้ฐานข้อมูลของประชาชนในประเทศ ทั้งจากทะเบียนราษฎร์ ธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงข้อมูลร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี และลงทะเบียนรับสิทธิ มาเป็นส่วนประกอบในการเขียนข้อจำกัดในการใช้งานของบาทดิจิทัล

 

หลังจากได้เห็นภาพของสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางชัดเจนมากขึ้น คำถามต่อมา คือ ผลกระทบจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างไร โดยในช่วงแรกที่มีการประกาศโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในช่วงหาเสียงของพรรคเพื่อไทย อาจไม่เห็นผลกระทบต่อค่าเงินบาทที่เป็นรูปธรรม เนื่องจากรายละเอียดของโครงการที่ยังไม่ชัดเจน และแหล่งเงินที่ประกาศในตอนแรกว่าไม่ได้มาจากการกู้เงิน

 

ขณะที่ช่วงถัดมา หลังพรรคเพื่อไทยประกาศเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 และยืนยันเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต พบว่าค่าเงินบาทได้อ่อนค่าราว 0.39% อย่างไรก็ดี หลังมีนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาคัดค้านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในวันที่ 6 ตุลาคม 2566 ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าเล็กน้อย 0.03% และต่อมาในวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงถึงนโยบายเงินดิจิทัลและปรับเกณฑ์ของผู้มีสิทธิที่จะได้รับ ค่าเงินบาทได้อ่อนค่า 0.34%

 

สังเกตว่าในทุก ๆ ครั้งที่รัฐบาลได้ออกมายืนยันเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ค่าเงินบาทมักจะเกิดการอ่อนค่า โดยอาจเป็นเพราะตลาดเห็นว่าจะมี Supply เงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายของรัฐบาลจะช่วยให้เศรษฐกิจโดยรวมในปี 2567 ขยายตัว 4.4% (เป็นคาดการณ์ที่รวมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต โดยใช้เม็ดเงินประมาณ 5.6 แสนล้านบาทเข้าไปด้วย)

 

จากข้อโต้แย้งของหลายฝ่ายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่เห็นด้วยกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้รัฐบาลได้เปลี่ยนเกณฑ์สำหรับผู้มีสิทธิได้รับการแจกเงินดิจิทัล โดยเกณฑ์ใหม่จะมีผู้ที่ได้รับสิทธิประมาณ 50 ล้านคน ใช้งบประมาณราว 5 แสนล้านบาท ระยะเวลาที่จะเริ่มโครงการคาดว่าภายในเดือนพฤษภาคม 2567

 

ข้อมูลดังกล่าว เป็นเพียงการประเมินว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีผลกระทบต่อค่าเงินบาท อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่เข้ามากระทบต่อค่าเงินยังมีอีกหลายปัจจัย โดยเฉพาะในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) มีแนวโน้มยุติวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกามีสัญญาณชะลอตัว ซึ่งมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าค่าเงินบาทน่าจะมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างผันผวนสูงนับจากนี้

 

ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากต่อผู้ประกอบการนำเข้า – ส่งออก หรือนักลงทุนที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเครื่องมือสำคัญที่นิยมใช้ คือ สัญญาซื้อขายสินค้าล่วงหน้า (Futures) ซึ่งเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงนอกเหนือจากการทำ Forwards กับธนาคารพาณิชย์ และในฐานะเครื่องมือที่ใช้ในการเก็งกำไร

 

ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ได้เปิดให้มีการซื้อขาย Futures ที่อ้างอิงกับอัตราแลกเปลี่ยน THB/USD (สัญญาซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐล่วงหน้า) ทำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมีทางเลือกในการเข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น

 

สำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง

ตัวอย่าง ผู้นำเข้าต้องชำระค่าซื้อสินค้าในวันที่ 29 ธันวาคม 2566 จำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากเงินบาทอ่อนค่าในอนาคต ดังนั้น ผู้นำเข้าจึงทำการ (ซื้อ) Long USD Futures ที่ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 100 สัญญา (ไม่รวมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ)

 

กรณีเงินบาทอ่อนค่าไปที่ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

  • ผู้นำเข้าซื้อเงินดอลลาร์ที่ราคา 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ต้องใช้เงิน (38 x 100,000) = 3,800,000 บาท
  • USD Futures จะได้กำไรเท่ากับ (38 – 36 ) x 1,000 x 100 = 200,000 บาท
  • สุทธิแล้วใช้เงินซื้อดอลลาร์ไปทั้งหมด (3,800,000 – 200,000) = 3,600,000 บาท

 

กรณีเงินบาทแข็งค่าไปที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

  • ผู้นำเข้าซื้อเงินดอลลาร์ที่ราคา 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ต้องใช้เงิน (34 x 100,000) = 3,400,000 บาท
  • USD Futures จะขาดทุนเท่ากับ (36 – 34) x 1,000 x 100 = 200,000 บาท
  • สุทธิแล้วใช้เงินซื้อดอลลาร์ไปทั้งหมด (3,400,000 + 200,000) = 3,600,000 บาท

 

จากตัวอย่าง พบว่าไม่ว่าในอนาคตค่าเงินบาทจะอ่อนค่าหรือแข็งค่าไปที่เท่าไหร่ ผู้นำเข้ายังคงมีต้นทุนในการซื้อเงินดอลลาร์อยู่ที่ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเสมอ

 

สำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไร

ตัวอย่าง นักลงทุนคาดว่าเงินบาทในอนาคตมีแนวโน้มแข็งค่า จึงเข้าไปทำการ (ขาย) Short USDZ23 ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 50 สัญญา (ไม่รวมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ)

 

กรณีเงินบาทอ่อนค่าไปที่ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

  • นักลงทุนจะขาดทุนเท่ากับ (36 – 35.50) x 1,000 x 50 = 25,000 บาท

 

กรณีเงินบาทแข็งค่าไปที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

  • นักลงทุนจะได้กำไรเท่ากับ (35.50 - 35) x 1,000 x 50 = 25,000 บาท

 

จากตัวอย่าง พบว่านักลงทุนมีโอกาสกำไรถ้าคาดการณ์ได้ถูกต้อง ในทางกลับกันมีโอกาสขาดทุนถ้าคาดการณ์ผิดพลาด

 

เมื่อโลกการเงินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และจากนี้ไปก็จะได้ยินคำว่า สกุลเงินดิจิทัล กันบ่อย ๆ ซึ่งอาจมีผลต่อค่าเงินบาทไม่มากก็น้อย และอาจส่งกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ต่อผู้ประกอบการนำเข้า – ส่งออก หรือนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ก็มีเครื่องมือเพื่อลดผลกระทบ คือ การซื้อขาย Futures ที่อ้างอิงกับอัตราแลกเปลี่ยน THB/USD ถือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง ขณะเดียวกันก็ใช้ในการเก็งกำไรได้ด้วย

 

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ USD Futures ได้ที่ >> คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการลงทุนในอนุพันธ์ประเภทต่าง ๆ ทั้งฟิวเจอร์ส และออปชัน ตลอดจนกลไกการซื้อขาย การวางหลักประกัน กลยุทธ์การลงทุน และข้อควรระวังของการลงทุนในอนุพันธ์ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ e-Learning หลักสูตร “ลงทุนอนุพันธ์ฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: