ลงทุน DR เวียดนาม เมื่อตลาดหุ้นเวียดนาม Comeback

โดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา, AFPT™ Wealth Manager ธนาคารทิสโก้
3 Min Read
18 กรกฎาคม 2566
5.752k views
TSI_Article_502_Inv_ลงทุน DR เวียดนาม เมื่อตลาดหุ้นเวียดนาม Comeback_Thumbnail
Highlights
  • ในปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามปรับลงอย่างหนัก แต่ด้วยการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงความคลายกังวลในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มปรับขึ้น ประกอบกับ Valuation ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ Upside ในตลาดหุ้นเวียดนามยังคงมีความน่าสนใจ

  • นักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม สามารถลงทุนได้ผ่านกองทุนรวมหุ้นเวียดนาม และตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศที่มีหลักทรัพย์อ้างอิง หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า DR ซึ่งสามารถซื้อขายได้ด้วยเงินบาท ใช้บัญชีเดียวกันกับการซื้อขายหุ้นไทย เหมือนการซื้อขายหุ้นทั่วไป ช่วยให้สะดวกมากขึ้น

มองย้อนกลับไปในปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนามได้ปรับตัวลดลงราว 33% กลายเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ผลตอบแทนแย่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลกที่กดดันให้ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 4% สู่ระดับ 6% เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินและควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น อีกทั้ง ยังเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องในภาคอสังหาริมทรัพย์จากการปราบปรามการทุจริตของภาครัฐ ส่งผลให้ในปีที่แล้วนักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นเวียดนามไปพอสมควร

 

อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินที่เปลี่ยนทิศจากโหมด “เข้มงวด” มาสู่ “ผ่อนคลาย” รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐและการออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหาการขาดสภาพคล่อง ถือเป็นปัจจัยที่ได้กลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกครั้ง สะท้อนผ่านดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) ที่ปรับตัวขึ้นราว 10% นับตั้งแต่ต้นปี ด้วย Valuation ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ Upside ในการลงทุนตลาดหุ้นเวียดนามยังคงมีความน่าสนใจ โดยมี 3 ปัจจัยที่จะสนับสนุนตลาดหุ้นเวียดนามในระยะถัดไป

 

  1. นโยบายการเงินที่กลับมา “ผ่อนคลาย” จากอัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่ขาลง โดยนับตั้งแต่ต้นปี ธนาคารกลางเวียดนาม ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing Rate) ลง 3 ครั้งติดต่อกันจาก 6% สู่ระดับ 4.5% เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อและกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อของเวียดนามได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยลดลงจากต้นปีที่ี่ 4.89% ลงมาอยู่ที่ 2.43% ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากราคาอาหารและพลังงานที่ปรับตัวลดลง ถือเป็นแรงสนับสนุนให้ธนาคารกลางเวียดนามไม่จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดอีกต่อไป

 

  1. การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น แผนการปรับลด VAT จาก 10% ลงมาเป็น 8% ที่คาดว่าจะเริ่มในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยสินค้าภายในประเทศ ในขณะที่เวียดนามยังมีอัตราส่วนหนี้สินของภาครัฐต่อ GDP ที่ต่ำเพียงแค่ 44.3% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศอาเซียนที่ 52% ทำให้มีช่องว่างในการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศได้

 

  1. ความกังวลในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง หลังจากที่รัฐบาลเวียดนามได้ออกกฎหมาย “Decree 8/2023” เพื่อบรรเทาความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ โดยอนุญาตให้บริษัทผู้ออกตราสารหนี้ยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไปได้ 2 ปี โดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถือหุ้นกู้ก่อนและอนุญาตให้ผู้ออกตราสารหนี้ สามารถชำระหนี้ได้ด้วยสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินสด รวมถึงได้มีการผ่อนคลายความเข้มงวดในการออกตราสารหนี้ชุดใหม่ เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและลดความเสี่ยงการขาดสภาพคล่องของธุรกิจภายในประเทศ
ปัจจุบัน ภาคอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนามได้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากยอดการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งสอดคล้องกับยอดอนุมัติการเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.9% ซึ่งต่ำกว่าระดับ NPL เป้าหมายของภาครัฐที่ 3% สะท้อนให้เห็นว่าความเสี่ยงในระบบการเงินยังอยู่ในระดับที่ต่ำ

 

สำหรับตลาดหุ้นเวียดนาม พบว่าปริมาณการซื้อขายในตลาดเริ่มกลับมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน สอดคล้องกับตัวเลขการเปิดบัญชีหุ้นของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งคิดเป็นกว่า 90% ของปริมาณซื้อขายของตลาด ที่เพิ่มขึ้นแตะระดับ 104,624 บัญชี แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กลับมาอีกครั้ง

 

แม้จะเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่ Bloomberg Consensus ยังคงประมาณการการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนเวียดนามในปี 2566 ไว้ที่ 12% และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอีก 25% ในปีหน้า ทำให้ ณ ระดับราคาปัจจุบัน Valuation ของตลาดหุ้นเวียดนามยังคงซื้อขายที่ Forward P/E เพียงแค่ 10 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12.5 เท่าอยู่ประมาณ 25%

 

ประเมินว่าจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นเวียดนามได้ผ่านไปแล้วและราคาหุ้น ณ ระดับปัจจุบันยังมีความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากตลาดยังไม่ได้ซึมซับปัจจัยบวกจากนโยบายการเงินที่กลับมาผ่อนคลาย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ความกังวลในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่คลี่คลายลง ตลอดจนการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลัง

 

สำหรับนักลงทุนที่สนใจ ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม การเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นเวียดนาม และตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศที่มีหลักทรัพย์อ้างอิง หรือเรียกสั้น ๆ ว่า DR โดยผู้ออก DR จะเป็นคนไปซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น หุ้น หรือ ETF ต่างประเทศ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาท ซึ่งผู้ถือ DR จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เหมือนกับการไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศโดยตรง ปัจจุบันมี DR ที่ให้ซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ได้แก่ E1VFVN3001 ที่อ้างอิงกับดัชนี VN30 (หุ้นชั้นนำ 30 ตัวแรกของเวียดนาม) และ FUEVFVND01 ที่อ้างอิงกับดัชนี Vietnam Diamond (เป็นดัชนีที่มีเงื่อนไขว่าหุ้นที่อยู่ในดัชนีต้องติด Foreign Limit และนักลงทุนต่างชาติจะต้องถือหุ้นอย่างน้อย 95% ของสัดส่วนที่ลงทุนได้)

การลงทุนผ่านกองทุนรวมและ DR ถือเป็นช่องทางที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ของความสะดวกรวดเร็วในการซื้อขายและการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมไปกับตลาดหุ้นเวียดนาม “The Rising Star of Asia” ได้ในระยะยาว


ทำความรู้จักการลงทุน DR เพิ่มเติมได้ที่ คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการลงทุนใน DR ตลอดจนวิธีการซื้อขาย และกลยุทธ์ลงทุนใน DR สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร ลงทุน DR ฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: