ผ่อนรถไม่ไหว ไปต่อหรือพอแค่นี้

โดย ดร.พีรภัทร ฝอยทอง CFP® นักวางแผนการเงิน
3 Min Read
12 กรกฎาคม 2566
61.983k views
TSI_Article_498_PF_ผ่อนรถไม่ไหว ไปต่อหรือพอแค่นี้_Thumbnail
Highlights
  • หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเริ่มผ่อนรถไม่ไหว คำแนะนำแรก คือ ให้ตั้งสติแล้วคิดหาทางออก ซึ่งมีให้เลือกหลายทางตามความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นขายดาวน์รถให้กับคนอื่น คืนรถให้ไฟแนนซ์ และรีไฟแนนซ์ เพื่อลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่องวด

  • แต่หากขาดส่งเงินที่ต้องผ่อนรถ 3 งวดติดต่อกันไปแล้ว ผ่อนต่อไม่ไหวแล้ว ก็ต้องนำรถไปคืนไฟแนนซ์พร้อมชดใช้ค่าเสียหาย และเพื่อให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ควรจัดการหาทางออกตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามจนเสียประวัติ หรือถึงขั้นต้องไปเจรจากันในศาล

ปัจจุบันรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เปรียบเสมือนปัจจัยที่ 5 ของคนไทยไปแล้ว เนื่องจากระบบขนส่งมวลชนสาธารณะยังเข้าไม่ถึงคนทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด ทำให้หลายคนยังต้องดิ้นรนหาซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์มาใช้เป็นพาหนะในการไปทำงาน รับส่งบุตรหลานไปโรงเรียน รวมถึงใช้เพื่อเดินทางพักผ่อนหย่อนใจ

 

อย่างไรก็ตาม พบว่ามีคนไทยจำนวนไม่มากที่มีกำลังซื้อรถ (รถใหม่ รถมือสอง) ด้วยเงินสด หมายความว่าส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินในการขอสินเชื่อเพื่อเช่าซื้อรถ ซึ่งก็มีการผ่อนตั้งแต่ 24 เดือนไปจนถึง 60 เดือน หรือรถยนต์บางประเภทก็สามารถเลือกผ่อนได้ถึง 84 เดือน (ขึ้นอยู่กับเครดิตของผู้เช่าซื้อ)

 

ทั้งนี้ มีข้อมูลที่น่าสนใจจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่า ปัจจุบันบัญชีสินเชื่อรถยนต์รวม 1 ล้านคัน ที่มีความเสี่ยงที่จะถูกยึด โดยแบ่งเป็นกลุ่ม Gen Y จำนวน 600,000 บัญชีที่มีปัญหา ซึ่งในกลุ่มนี้เป็นหนี้เสียไปแล้ว 350,000 บัญชี ในขณะที่กลุ่ม Gen X มีบัญชีที่เป็นปัญหาประมาณ 400,000 บัญชี ซึ่งปัจจุบันเป็นหนี้เสียไปแล้วประมาณ 200,000 บัญชี

 

โดยในกลุ่มที่หนี้ยังไม่เสียแต่มีความเสี่ยง จะเป็นกลุ่มของลูกหนี้ที่มีการเลี้ยงงวดหรือผ่อนแบบฟันหลอ คือ หยุดผ่อน 1 – 2 งวด แล้วกลับมาผ่อนใหม่ 1 งวด หลังจากนั้นก็จะหยุดผ่อน 1 – 2 งวดอีก แล้วก็กลับมาผ่อนใหม่ 1 งวด หมุนวนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงการถูกปรับลดชั้นไปเป็นหนี้เสีย เพราะหากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ 3 งวดติดต่อกัน ก็จะกลายเป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อ และทำให้สถาบันการเงินมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันที

 

สำหรับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสียหรือเป็นหนี้เสียไปแล้ว หากไม่รู้ว่ามีทางเลือกอะไรบ้าง ขอแนะนำแนวทางเพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจ ดังนี้

 

กลุ่มที่ 1 เริ่มผ่อนไม่ไหว แต่ยังไม่ผิดสัญญาเช่าซื้อ

กลุ่มนี้จะเป็นลูกหนี้ที่เริ่มผ่อนแบบเลี้ยงงวดหรือผ่อนแบบฟันหลอ คำแนะนำ คือ ให้คิดเสียก่อนว่ารถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ เป็นของนอกกาย (ไม่ตายก็หาใหม่ได้) ซึ่งจะทำให้มี 3 ทางเลือก ได้แก่

 

  • ขายดาวน์รถต่อไปให้กับคนอื่น จากนั้นก็หารถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ราคาถูกลงมาใช้ หรืออาจเปลี่ยนไปใช้รถโดยสารสาธารณะแทนในช่วงที่ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ซึ่งในการขายดาวน์รถนั้น ผู้ที่เข้ามาซื้อดาวน์ก็จะมีทางเลือก 2 แบบด้วยกัน คือ

 

    1. ผู้ซื้อมีเงินก้อนมาชำระค่ารถให้กับผู้ขายตามที่ตกลงกัน รวมทั้งปิดยอดเช่าซื้อที่เหลือทั้งหมดกับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อหรือไฟแนนซ์ในคราวเดียว หมายความว่าผู้ขายได้เงินตามที่ต้องการ และไฟแนนซ์ก็ได้รับชำระหนี้ที่เหลือคืนครบถ้วน กรณีแบบนี้สามารถนัดหมายผู้ซื้อให้เข้าไปที่ไฟแนนซ์พร้อมกับผู้ขาย เพื่อทำสัญญาซื้อขาย พร้อมทั้งปิดยอดหนี้กับไฟแนนซ์ได้ในคราวเดียวกัน

    2. ผู้ซื้อมีเงินเพียงมาชำระค่ารถให้กับผู้ขาย ไม่มีเงินก้อนมาปิด และต้องการผ่อนต่อกับไฟแนนซ์ กรณีนี้ไม่สามารถตกลงทำสัญญาและรับเงินกันเองได้ เพราะว่าผู้ขายมีสัญญาเช่าซื้ออยู่กับไฟแนนซ์ หากทำสัญญากันเองโดยที่ไฟแนนซ์ไม่รับรู้ แล้วผู้ซื้อบอกว่าจะขอผ่อนต่อกับไฟแนนซ์ หากผู้ซื้อนำรถไปแต่ไม่ผ่อนต่อกับไฟแนนซ์ ผู้ขายก็จะต้องมีความรับผิดตามสัญญาที่อยู่กับไฟแนนซ์ ไม่สามารถอ้างว่าขายรถต่อให้คนอื่นไปแล้ว

 

วิธีการที่ถูกต้องในกรณีนี้ คือ ผู้ขายต้องเปลี่ยนให้ผู้ซื้อเข้ามาเป็นผู้เช่าซื้อหรือลูกหนี้โดยตรงกับไฟแนนซ์ ซึ่งปกติก็จะทำสัญญาจะซื้อจะขายเพื่อรับเงินมัดจำไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ให้ผู้ซื้อติดต่อกับไฟแนนซ์เพื่อขอสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยอาจจะติดต่อกับไฟแนนซ์เดิมที่ผู้ขายทำสัญญาเช่าซื้ออยู่หรือติดต่อกับไฟแนนซ์เจ้าใหม่ก็ได้ และหากไฟแนนซ์อนุมัติสินเชื่อให้กับผู้ซื้อแล้ว ก็นัดหมายกันเข้าไปเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อที่ไฟแนนซ์ ซึ่งผู้ขายต้องอ่านในสัญญาที่เปลี่ยนใหม่นั้นให้มั่นใจว่าผู้ซื้อจะเข้ามาเป็นลูกหนี้ตามสัญญาแทน และผู้ขายไม่ต้องรับผิดชอบหนี้หรือความเสียหายใด ๆ หลังจากวันที่เปลี่ยนสัญญาอีก

 

  • คืนรถให้กับไฟแนนซ์ หากไม่สามารถหาผู้ซื้อรายใหม่ต่อได้ ก็สามารถนำรถไปคืนให้กับไฟแนนซ์ เพราะ สัญญาที่ทำไว้กับไฟแนนซ์ คือ สัญญาเช่าซื้อ หมายความว่า ในขณะที่ผ่อนชำระค่างวด เปรียบเสมือนการจ่ายค่าเช่า กรรมสิทธิ์ของรถยังคงอยู่กับไฟแนนซ์ หมายความว่า จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ก็ต้องรอจนกว่าจะผ่อนชำระจนครบตามสัญญา ดังนั้น สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 573 ที่บัญญัติไว้ว่า

 

“ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง”
 
หมายความว่า หากยังไม่ได้ผิดสัญญาเช่าซื้อ สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ตลอดเวลา โดยการนำรถที่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีกลับไปคืนไฟแนนซ์ และจ่ายหนี้ที่ค้างอยู่จนถึงวันที่คืนรถทั้งหมด เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์จากการที่ไฟแนนซ์เอารถไปขายต่อแล้วได้ราคาต่ำกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา
 
ซึ่งในเรื่องนี้มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐานไว้อยู่แล้ว หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น ในขณะที่นำรถไปคืนไฟแนนซ์ ก็ให้ทำหนังสือไว้เป็นหลักฐานว่านำรถยนต์มาคืนเรียบร้อยแล้ว และทางไฟแนนซ์ไม่ติดใจที่จะเรียกค่าชดใช้เงินใด ๆ อีก พร้อมทั้งถ่ายรูปหรือวิดีโอตอนคืนรถเก็บไว้เป็นหลักฐานอีกชั้นหนึ่งด้วย เผื่อว่ามีปัญหาฟ้องร้องกันในวันหน้า ก็จะได้มีหลักฐานไปใช้ต่อสู้ในศาลเพิ่มขึ้น

 

  • รีไฟแนนซ์ สำหรับผู้ที่ผ่อนมานานพอสมควรและต้องการเก็บรถไว้ ไม่ต้องการขายต่อหรือคืนรถให้กับไฟแนนซ์อาจจะต้องหาทางรีไฟแนนซ์หรือปรับโครงสร้างหนี้ โดยอาจขอรีไฟแนนซ์กับไฟแนนซ์เดิม หรือรีไฟแนนซ์ไปไฟแนนซ์ใหม่ก็ได้ โดยวัตถุประสงค์ของการรีไฟแนนซ์ คือ ลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่องวดลง เช่น จากเดิมผ่อนอยู่งวดละ 15,000 บาท ถ้ารีไฟแนนซ์สำเร็จก็อาจจะเหลือผ่อนเพียงวดละ 8,000 – 10,000 เพียงแต่ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาการผ่อนที่นานขึ้นและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย

 

สำหรับผู้ที่เลือกการรีไฟแนนซ์ จะต้องประเมินให้ดีด้วยว่าหลังจากรีไฟแนนซ์ไปแล้ว แม้ว่าจำนวนที่ผ่อนต่อเดือนจะน้อยลง แต่ก็ยังมีภาระรายจ่ายประจำเดือนที่ต้องผ่อนรถเป็นประจำทุกเดือน กระแสเงินสดที่จะได้รับมาในแต่ละเดือนนั้น เมื่อหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ยังเหลือพอที่จะนำมาผ่อนชำระค่างวดได้หรือไม่ เพราะหากมีกระแสเงินสดรับที่ไม่แน่นอนหรือไม่เพียงพอ ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต ถ้าเป็นแบบนี้ ยอมตัดใจขายดาวน์ต่อหรือคืนรถให้ไฟแนนซ์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

 

กลุ่มที่ 2 ผิดสัญญาเช่าซื้อ และผ่อนต่อไม่ไหวแล้ว

ในกรณีที่ขาดส่งเงิน 3 งวดติดต่อกัน ก็จะถือว่าคุณผิดสัญญา และไฟแนนซ์จะมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ไปชำระเงินภายใน 30 วัน หากไม่ได้ปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวทวงถาม ไฟแนนซ์ก็จะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งการที่ถูกบอกเลิกสัญญาก็จะต้องนำรถไปคืน พร้อมกับชดใช้หนี้ที่ค้างอยู่ทั้งหมดคืนให้กับไฟแนนซ์ รวมถึงต้องชดใช้ค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ให้กับไฟแนนซ์ด้วย

 

โดยค่าขาดราคานั้นจะเกิดจากการที่ไฟแนนซ์นำรถที่นำมาคืนหรือไฟแนนซ์ไปยึดมาไปขายทอดตลาด และหากขายได้ต่ำกว่าราคาขายรถยนต์ยี่ห้อและรุ่นเดียวกันซึ่งมีสภาพ อายุการใช้งาน ตลอดจนระยะทางการใช้งานที่ใกล้เคียงกันในท้องตลาดเท่าไหร่ ก็ต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มเท่านั้น เช่น รถที่เช่าซื้อไปนั้น ปกติมือสองที่ขายในท้องตลาดขายกันอยู่ที่ราคา 700,000 บาท แต่รถที่ไฟแนนซ์ได้คืนไปแล้วนำไปขายทอดตลาดได้ราคาเพียง 600,000 บาท ผู้ซื้อก็มีหน้าที่ต้องชดใช้ราคาให้กับไฟแนนซ์อีก 100,000 บาท

 

หากไม่ชำระค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ให้กับไฟแนนซ์ ไฟแนนซ์ก็จะมีการแต่งตั้งทนายเพื่อดำเนินการฟ้องร้องคดีโดยผู้ซื้อจะได้รับหมายศาลส่งมาตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในบัตรประชาชน แต่ไม่ต้องตกใจเพราะการผิดสัญญาเช่าซื้อเป็นเพียงความผิดทางแพ่งเท่านั้น ไม่ได้มีโทษจำคุกแต่อย่างใด

 

ทั้งนี้ ข้อแนะนำเวลาที่ได้รับหมายศาล คือ ให้ไปที่ศาลตามวันเวลา (จะมีทนายความหรือไม่ก็ตาม ก็ขอให้ไปตามนัดดังกล่าว) โดยในนัดแรกนั้นศาลจะให้ผู้ซื้อกับทางไฟแนนซ์ได้ไกล่เกลี่ยกันว่าจะชำระหนี้ส่วนที่ขาดได้หรือไม่ เพียงใด ซึ่งผู้ซื้อสามารถเจรจาขอลดหนี้ลงได้พอสมควร เพราะผู้ไกล่เกลี่ยประจำศาลหรือผู้พิพากษาก็จะช่วยคุณเจรจาไกล่เกลี่ยด้วย แต่ถ้าไม่สามารถเจรจากันได้ก็อาจจะต้องแต่งตั้งทนายความเพื่อต่อสู้คดีต่อไป และท้ายที่สุดหากผู้ซื้อแพ้คดี นอกจากที่จะต้องชดใช้ค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์แล้ว ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 5% ต่อปีเพิ่มอีกด้วย

 

สรุปแล้ว หากอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงว่าจะผ่อนรถต่อไม่ไหว ข้อแนะนำ คือ ต้องรีบจัดการปัญหานี้ก่อนที่จะผิดนัดชำระ 3 งวดติดกัน เพราะเมื่อถึงจุดนั้นแสดงว่าจะเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ และแม้ว่าจะนำรถยนต์ไปคืนไฟแนนซ์ ก็ยังจะต้องชำระเงินค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ด้วย

 

แต่หากมั่นใจว่าผ่อนต่อไปไม่ไหวก็สามารถเลือกที่จะขายดาวน์ หรือนำรถยนต์ไปคืนและบอกเลิกสัญญาก่อนที่จะเป็นฝ่ายผิดนัด ก็จะไม่ต้องชดใช้หนี้เพิ่มเติมนอกจากหนี้ที่ค้างอยู่ก่อนวันเลิกสัญญาเท่านั้น และสำหรับผู้ที่ยังตัดใจขายหรือคืนรถไม่ได้ และต้องการที่จะรีไฟแนนซ์เพื่อลดเงินผ่อนต่องวดลง ก็ขอให้พิจารณาถึงกระแสเงินสดรับจ่ายในแต่ละเดือน หากยังพอไหวก็เลือกที่จะไปต่อได้ แต่ถ้าไม่ไหวก็ขอว่าอย่าฝืน ตัดใจวันนี้ เพื่อไม่ให้มีปัญหาหนี้เสียและมีประวัติไม่ดีในเครดิตบูโรจะดีกว่า


สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้วิธีจัดการหนี้เมื่อหนี้เริ่มมีปัญหา โดยจะอธิบายขั้นตอนและวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้ด้วยตนเอง และการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ เหมาะกับผู้ที่เป็นหนี้แล้วหรือผู้ที่ภาระหนี้เริ่มพอกพูนกังวลว่าจะมีปัญหาในอนาคต สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “เป็นหนี้แล้วจัดการยังไง” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: