ปี 2566 เดินทางมาถึงกลางปีอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้เป็นหนึ่งในปีที่ผลตอบแทนของสินทรัพย์ทั่วโลกมีความแตกต่างกันอย่างมาก ใครที่เลือกลงทุนกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ หรือกลุ่มเติบโตสูง กำลังยิ้มอย่างมีความสุข เพราะการลงทุนทำผลตอบแทนดีในระดับ 15 – 30% แต่บางท่านที่ลงทุนในกลุ่มพลังงาน หุ้นเอเชีย หรือหุ้นไทยอาจกำลังสับสนเพราะผลตอบแทนไม่เป็นไปอย่างที่หวัง
สำหรับนักลงทุนไทยอย่างเรา เศรษฐกิจและตลาดการเงินครึ่งปีหลังยังคงเต็มไปด้วยคำถาม และแนวโน้มการลงทุนดูจะซับซ้อนขึ้นอีก เราจึงควรเตรียมตัวปรับพอร์ตให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้ โดยคำถามแรกและสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นภาพเศรษฐกิจ ว่านักลงทุนยังต้องกังวลเงินเฟ้อขาขึ้น เศรษฐกิจถดถอย หรือการเมืองต่อไปหรือไม่
ในมุมมองของผม ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2566 เงินเฟ้อขาลง เป็นเรื่องบวกกับการลงทุน
ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เริ่มรายงานเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงเหลือต่ำกว่า 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่เงินเฟ้อฝั่งยุโรปแม้จะยังสูงแต่ก็ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ส่วนในเอเชียและไทยยิ่งเห็นได้ชัดว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แนวโน้มเงินเฟ้อจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสที่ 3 ทำให้กำลังซื้อทั่วโลกจะฟื้นตัว ต้นทุนการประกอบธุรกิจจะลดลง หุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้น ขณะที่ตราสารหนี้ก็จะมีแรงกดดันจากนโยบายการเงินที่น้อยลง
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตา
สำคัญที่สุดคือตลาดแรงงานที่เติบโตสวนคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ การว่างงานในสหรัฐฯ อยู่ที่ 3.6% ต่ำที่สุดในรอบกว่า 50 ปี ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายสูงถึง 5.25% ตัวเลขเศรษฐกิจนี้ชี้ว่าความเสี่ยงที่การเติบโตจะทยอยปรับลดลงยังมีอยู่สูง พร้อมกันนี้ ระดับดอกเบี้ยที่เคยสร้างปัญหาในภาคธนาคารพาณิชย์ช่วงครึ่งแรกของปีก็ยังคงอยู่ โดยนักวิเคราะห์สหรัฐฯ หลายท่านมองว่าผลที่แท้จริงของดอกเบี้ยสูง กำลังจะมาถึงใน 6 – 12 เดือนหลังจากที่เริ่มเห็นเงินฝากไหลออกจากธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ จึงเป็นช่วงที่ต้องระวังมากที่สุด
สำคัญไม่แพ้เศรษฐกิจโลก สำหรับนักลงทุนไทยคือหน้าตาของรัฐบาลใหม่ และนโยบายเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึง
ในครึ่งหลังของปีนี้นอกจากจะต้องติดตามทิศทางการเมืองตั้งแต่การเลือกประธานสภา นายกรัฐมนตรี ไปจนถึงหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่แล้ว เป้าหมายนโยบายเศรษฐกิจก็จะเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างในไตรมาสที่ 4 โดยสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามคือการให้ลำดับความสำคัญของแต่ละนโยบาย ดีที่สุดสำหรับตลาดการเงินและตลาดทุนคือเริ่มที่นโยบายเศรษฐกิจก่อน ขณะที่ความผันผวนจะมีมากที่สุดในกรณีที่เกิดปัญหาทางการเมือง หรือเน้นนโยบายด้านสังคมและการปกครองมาเป็นอย่างแรก
เมื่อรู้อย่างนี้ เราจะสามารถจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง 2566 ได้ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก
ด้วยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เข้าสู่โหมดชะลอตัว ครึ่งหลังของปีอาจเป็นเวลาของตลาดผู้ตามอย่าง ยุโรป ญี่ปุ่น หรืออินเดีย แม้หุ้นสหรัฐฯ จะทำผลงานได้ดีมากในช่วงครึ่งปีแรก แต่ Valuation ของดัชนี S&P 500 เริ่มตึงตัวเหนือระดับ 4,000 จุด ถ้าเศรษฐกิจไม่ขยายตัวต่อจนทำให้รายได้ของบริษัทจดทะเบียนเติบโตสูง อาจเป็นจังหวะของตลาดอื่น ๆ
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนมักเป็นกระต่ายตัวที่สอง หรือทางเลือกแรกในการกระจายการลงทุนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ในปีนี้นโยบายเศรษฐกิจจีน วิกฤติในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการว่างงานของคนหนุ่มสาวดูจะยังไม่เป็นใจกับการฟื้นตัว
โดยรวม ผมจึงเลือกกลุ่มประเทศที่เคยเป็น เต่า ตามสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นญี่ปุ่นที่มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยนโยบายทุนนิยมรูปแบบใหม่ของนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ หรือยุโรป ที่อาจได้รับแรงสนับสนุนจากค่าเงินยูโรถ้าธนาคารกลางสหรัฐฯ หยุดขึ้นดอกเบี้ย หรือ อินเดีย เศรษฐกิจขนาดใหญ่เติบโตสูงที่ไม่ได้มีปัญหาการเมืองกับสหรัฐฯ ครึ่งปีหลัง 2566 จะเป็นเวลาที่กระต่าย (สหรัฐฯ จีน) พักและเต่าขึ้นนำบ้าง
ผมมองว่านโยบายการเงินทั่วโลกเดินทางมาถึงจุดที่ทิศทางเริ่มไม่ไปในทางเดียวกัน และระดับของดอกเบี้ยก็แตกต่างจากช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอย่างมาก ตามทฤษฎีแล้วในช่วงท้ายของการขึ้นนั้น คุณสามารถสะสมตราสารหนี้ได้ด้วยความหวังว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ครั้งนี้บางประเทศอาจมีความแตกต่างกันที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง เราจึงไม่ควรคาดหวังการลดดอกเบี้ยเหมือนในอดีตที่ผ่านมาได้ในทุกประเทศ
ครึ่งหลังของปี ผมจึงยังไม่ชอบตราสารหนี้ในประเทศกลุ่มพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ หรือยุโรปมากนัก แต่ให้น้ำหนักตราสารหนี้ของประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่สามารถลดดอกเบี้ยได้มากกว่า หรือถ้านักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงของสินค้าโภคภัณฑ์ได้ ทองคำก็อาจเป็นหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มักจะปรับตัวขึ้นเมื่อดอกเบี้ยเป็นขาลงหรือเมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างมีนัย
สำหรับการลงทุนในหุ้นไทยนั้น แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องการเมือง แต่ผมเชื่อว่าความผันผวนนี้สร้างโอกาสลงทุนในหุ้นดีที่ Valuation ไม่แพงได้ ผมให้เป้าหมายดัชนี SET Index ในครึ่งปีหลังที่ 1,600 จุด ภายใต้สมมติฐานว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเลือกใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกับปรับโครงสร้างสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป กำไรต่อหุ้นของตลาดจึงอาจไม่เติบโตทันที แต่ Multiple คาดว่าจะกลับมาที่ระดับเฉลี่ยของ SET Index ระยะยาวที่ 18 เท่า ธีมลงทุนและหุ้นเด่นครึ่งปีหลังประกอบด้วย
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใช้เพื่อสำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้หลักการวิเคราะห์ผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน และแนวทางการปรับพอร์ตให้เหมาะกับตนเองและสถานการณ์ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Portfolio Rebalancing” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือเรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมเจาะลึกเทคนิคในการจับจังหวะเปลี่ยนกลุ่มลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่