หากพูดถึงปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการลงทุนอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา คือ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งปรับขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรป ส่งผลให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ดำเนินกลยุทธ์ด้วยการ “ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” เพื่อควบคุมและปรับลดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งผลที่ตามมาอาจทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอย และเมื่อพิจารณาย้อนหลัง พบว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาในปี 2565 ถือว่าค่อนข้างเร็วและแรง โดยปรับขึ้นประมาณ 5% ภายใน 14 เดือน ส่งผลให้ผลตอบแทนตลาดหุ้นและตราสารหนี้ปรับลดลงอย่างรวดเร็วตามไปด้วย ขณะเดียวกันก็จะเห็นผลกระทบเชิงลบ เช่น ธนาคารขนาดเล็กล้มละลาย กำไรของบริษัทจดทะเบียนหดตัว เป็นต้น
คำถามที่ตามมา คือ เมื่อธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และในอนาคตจะเริ่มใช้นโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้นจะกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่ ประเด็นนี้ Franklin Templeton องค์กรบริหารสินทรัพย์ระดับโลก ได้สรุปข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ลงทุนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายกำลังจะกลับทิศ (จากระดับจุดสูงสุดและกำลังเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ในแต่ละรอบของนโยบายตั้งแต่ปี 1971 – 2023 พบว่าภายในช่วง 1 ปีหลังจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายเริ่มปรับลดลง มีรายละเอียดดังนี้
หากมองสถิติดังกล่าว ดูเหมือนว่าช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายกำลังเปลี่ยนทิศเป็นจังหวะที่น่าลงทุน อย่างไรก็ตาม พบว่า การกลับตัวของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกัน โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนปรับลดลงจะไม่เท่ากัน ประเด็นที่สอง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเกิดในช่วงที่อยู่ในสภาวะ Inverted Yield Curve (สถานการณ์อัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยของพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว โดยใช้ผลตอบแทนพันธบัตร 2 ปี และ 10 ปี มาเปรียบเทียบกัน โดย Inverted Yield Curve เป็นสัญญาณให้เฝ้าระวังโอกาสที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง และอาจนำไปสู่เศรษฐกิจถดถอย เพราะในภาวะปกติอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะสูงกว่าระยะสั้น) หรือไม่ และประเด็นสุดท้าย เมื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาหรือไม่ (ดูตาราง)
จากสภาวะการลงทุนในปัจจุบัน ประเมินว่า เฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายท่ามกลางสภาวะ Inverted Yield Curve และเมื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว อาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาในปีถัดไป ดังนั้น นักลงทุนควรระมัดระวังกับการลงทุน ด้วยการเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้หรือถือเงินสด
สภาวะแบบนี้ “หุ้นไทย” ยังน่าสนใจหรือไม่
ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วยังเต็มไปด้วยปัจจัยเชิงลบ เช่น อัตราเงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และมีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวประเมินว่าหุ้นไทยยังน่าสนใจลงทุน หรืออย่างน้อย ๆ ก็ไม่เสียเปรียบ โดยแบ่งเป็นประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจแบบง่าย ๆ เพื่อจับทิศทางการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และค้นหาหุ้นเด็ดในแต่ละช่วงเวลา สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือเรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมเจาะลึกเทคนิคในการจับจังหวะเปลี่ยนกลุ่มลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่