ทิศทางเศรษฐกิจ และการลงทุนปี 2566

โดย SET
5 Min Read
24 เมษายน 2566
6.221k views
รวมSETInvestHow-1200x800
In Focus
  • ฉายภาพรวมการลงทุน ทิศทางเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในปี 2566

  • มีปัจจัยสำคัญอะไรบ้างที่นักลงทุนต้องรับรู้และเฝ้าระวัง

  • คำแนะนำและกลยุทธ์การลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้รับรางวัลทีมวิเคราะห์ยอดเยี่ยม และนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยม ประจำปี 2565

           ตั้งแต่ต้นปี 2566 ภาพรวมของการลงทุนมีปัจจัยแวดล้อมที่เข้มข้นและร้อนแรงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัจจัยในต่างประเทศที่มีหลากหลายประเด็นให้ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด

 

บทความนี้จึงได้สรุปมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนชั้นนำของไทย จากเสวนา “ทิศทางเศรษฐกิจ และการลงทุนปี 2566” เพื่อให้นักลงทุนได้ปรับกลยุทธ์ พร้อมวางแผนรับมือได้อย่างทันท่วงที

SETInvestHow-1
“ เวลานี้เป็นจังหวะดีในการลงทุน ด้วยแรงหนุนจากการท่องเที่ยว และการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้น ”
 
เกษม พันธ์รัตนมาลา
ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด
ทีมวิเคราะห์การลงทุนยอดเยี่ยม ประจำปี 2565

           วิกฤตตอนนี้ส่วนหนึ่งมาจากที่ Fed ใช้นโยบาย QE อัดฉีดเงินเข้าระบบ แล้วถอนออกช้าเกินไป ทำให้เกิด Inflation expectation หรืออัตราเงินเฟ้อที่คาดจะสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งตามมาด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ทว่าการล้มของ Silicon Valley Bank ในสหรัฐฯ ทำให้ความคาดหวังต่อการขึ้นดอกเบี้ยกลับทิศทันที แสดงเห็นถึงความผันผวนที่ยังมีอยู่ อีกทั้งยังส่งผลต่อธนาคารในต่างประเทศที่ถือตราสารหนี้ระยะยาวจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ปัญหาส่วนหนึ่งก็มาจากการบริหารงานของธนาคารที่ผิดพลาดด้วย จึงเชื่อว่าคงไม่ลุกลามไปทั่วอุตสาหกรรม และเมื่อรอเวลาสักพักผู้คนก็จะเริ่มคลายความกังวล

 

           โดยภาพการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในปี 2023 ยังเผชิญกับปัจจัยลบจากต่างประเทศ ทั้งดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ รวมถึงปัจจัยในประเทศที่เศรษฐกิจไทยเพิ่งจะ Take off ซึ่งเมื่อเจอปัจจัยภายนอกมากระทบ ก็อาจจะซวนเซไปพักนึง แต่สิ่งที่จะหนุนให้เติบโตนั่นคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังการเปิดประเทศ โดยเฉพาะจีนที่เปิดประเทศเร็วกว่าคาด ดังนั้น จึงมองว่าเวลานี้เป็นจังหวะดีในการซื้อลงทุน

 

           ขณะที่ผลการเลือกตั้งจะเป็นตัวตัดสินภาพรวมตลาดในไตรมาส 2 เพราะเชื่อว่าเมื่อการเมืองมีความชัดเจน สุดท้ายนักลงทุนต่างชาติก็จะมีความมั่นใจและกลับมาเข้ามาลงทุน ส่วนเรื่องนโยบายทางการเงินของแบงก์ชาติ ก็จะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกัน โดยมองว่าการคงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่ต่ำต่อไป จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และพยุงไม่ให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นต้องฟุบลงไป

 

           สำหรับหุ้นที่จะได้รับประโยชน์ คือ กลุ่ม Critical Domestic Sector ที่ธุรกิจมีวัฏจักร และเน้นสร้างการเติบโตภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ต่างประเทศวุ่นวาย แต่ในประเทศยังดี และหากเรากังวลว่าแบงก์ชาติมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยตามต่างประเทศ ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่มี Gearing สูงๆ หันมาเน้นหุ้นที่บริหารงานแบบ Conservative เน้นเติบโตในประเทศ

 

           มุมมองและกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้น้ำหนัก (Overweight) ไปที่ “หุ้นธนาคาร” เพราะที่ผ่านมาราคาย่อตัวลงมาเยอะ เพราะกังวลปัจจัยภายนอก แต่เรามองว่าธนาคารไทยยังมั่นคง ดังนั้น จึงเป็นโอกาสเข้าลงทุนได้

 

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม Domestic Sector ที่น่าสนใจ ทั้งหุ้นค้าปลีก หุ้นโรงแรม และหุ้นอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นผู้ได้ประโยชน์ชัดเจนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ยังเดินหน้าไปต่อได้ในช่วงตลาดผันผวน

 

สุดท้ายนี้ ยอมรับว่าการหาหุ้นเพื่อลงทุนในระยะยาวเป็นเรื่องยาก เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้การบริโภคชะลอตัว โตน้อยลง เม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุนก็น้อยลงด้วย รัฐบาลจึงต้องปรับกลยุทธ์นโยบาย หันมาผลักดันอุตสาหกรรมที่เรามีความสามารถทางการแข่งขัน เช่น EV และ Medical Tourism เป็นต้น ซึ่งจุดสำคัญคือนักลงทุนต้องเฝ้าดูว่าภาคอุตสาหกรรมไหน จะได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องจากการสนับสนุนของภาครัฐ

SETInvestHow-2
 “ โจทย์ใหญ่ของตลาดหุ้นวันนี้ คือการทรานฟอร์มไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ”
 
ภาสกร ลินมณีโชติ
กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
ทีมวิเคราะห์การลงทุนยอดเยี่ยม ประจำปี 2565

           ปัจจัยที่น่าห่วงมากสุดตอนนี้ คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ด้วยสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับวิกฤติธนาคาร ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพียงโฆษณาคั่นเวลาเท่านั้น เพราะหากย้อนดูวิกฤตระดับโลกอื่นๆ จะมาจาก 3 เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ 1.) Liquidity Risk 2.) Event Market Risk และ 3.) Credit Risk แต่ว่าครั้งนี้ยังขาดเรื่อง Credit Risk หรือความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งปัญหานี้ยังห่างไกล

 

           หันกลับมาที่เศรษฐกิจไทย เราคาดว่า GPD ปีนี้จะโต 3.7% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 2.7% แต่คำถามคือเศรษฐกิจไทยดีจริงไหม? เพราะว่าแม้ตัวเลขจะสูงขึ้น แต่ก็มาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน เพราะฉะนั้น จึงต้องมองไปถึง 2024-2025 ที่จะสะท้อนศักยภาพของเราได้จริงๆ

 

           ส่วนตัวมองว่าว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้แข็งแกร่งนัก ด้วยการเติบโตที่กระจุกตัวแค่บาง sector เช่น การท่องเที่ยว เป็นต้น แต่โจทย์ใหญ่ที่สำคัญคือการทรานฟอร์มของอุตสาหกรรมหลักๆ ของประเทศไปสู่อนาคต เช่น ยานยนต์ที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV รวมไปถึงอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฯ ที่กำลังมุ่งสู่ Green Energy

 

           ทั้งนี้ อีกปัจจัยที่อยากให้นักลงทุนติดตาม คือ ตัวเลข NPL formation ที่แสดงการก่อตัวของสินเชื่อที่กลายเป็นหนี้เสียในแต่ละไตรมาส ข้อมูลที่น่าสนใจพบว่าในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2565 NPL formation กระชากขึ้นมาแรง สาเหตุมาจากการกลับมาจ่ายหนี้ปกติ หลังหมดนโยบายช่วยเหลือจากทางธนาคาร ซึ่งจุดนี้เรามองว่ายังน่าเป็นห่วงและควรระวัง

 

           สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนำธีมหลัก ดังนี้ 1.) Reopening Play ซึ่งได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไทยกว่า 30 ล้านคน 2.) K-Shaped economics คือธุรกิจที่เจาะกลุ่มกำลังซื้อสูง เป็นสินค้า Luxury ที่มีความยืดหยุ่นต่อราคาต่ำ 3.) กลุ่มที่ได้ผลประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น ธนาคารขนาดใหญ่ พร้อมกันนี้ยังสามารถเก็งกำไรในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากประเด็น Geopolitical Risk, NPL Cycle และ Yield Curve ที่ยังเหลือช่องว่างให้ขึ้นอีกมาก

SETInvestHow-3
“ SET ฟื้นตัวผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้พีค และจะเริ่มปรับลดลง ”
 
ฐาปน พานิช
รองกรรมการผู้จัดการ แผนกวิจัยตราสารทุนและธุรกิจต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด
รางวัลนักกลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน ประจำปี 2565
eOpen Banner for investHow-01-01

          ส่วนตัวคิดว่า Silicon Valley Bank ไม่ใช่ธนาคาร แต่เป็น Private Equity Fund มากกว่า โดยธุรกิจค่อนข้างกระจุกตัว ทำให้เมื่อเกิดปัญหาจุดนึง เลยกระทบไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมั่นใจว่า Fed จะบรรเทาผลกระทบลงได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว Recession ก็คงจะตามมาแน่นอน

 

          สิ่งที่นักลงทุนควรจับตามองหลังจากนี้ คงหนีไม่พ้นแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่จบ เพราะ Fed ยังกลัวเรื่องเงินเฟ้อมากกว่า Recession โดยปัจจัยที่ต้องดูประกอบกัน คือ อัตราการว่างงาน ตัวเลขค่าแรง และยอดขายที่อยู่อาศัย ซึ่งเชื่อว่าในระยะยาวทั้งหมดนี้จะเป็นขาลง ทำให้จะมีการลดดอกเบี้ยตามมา

 

          อีกประเด็นคือสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งตอนนี้ยังยืดเยื้อไม่จบสักที แต่ปัจจุบันยูเครนกำลังบุกชิงดินแดนทางด้านใต้ไปถึงไครเมีย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ และจะเป็นตัวชี้ชะตาว่าสงครามจะจบหรือไปต่อ คาดจะเห็นความชัดเจนประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม

 

          ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ถือว่ายังเป็น Fund Flow Market ที่ขึ้นลงตามเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ส่วนการเลือกตั้ง หากเกิดความเปลี่ยนแปลงก็เชื่อว่าจะเป็น Sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้น ทว่าปัญหาของหุ้นไทยเป็นเรื่องของ EPS โดยปี 2023 คาดอยู่ 87.8 บาทต่อหุ้น ซึ่งระดับนี้ค่อนข้างยากที่ SET Index ที่พุ่งทะยานไปถึง 1700 - 1800 จุด

 

          ในแง่ของการคัดเลือกหุ้น จึงโฟกัสกลุ่มหุ้น Big Cap. ที่จะมาหนุนดัชนีช่วงเลือกตั้ง และหลังจากนั้นหาก Recession เกิดขึ้น คงต้องมาไล่วิเคราะห์ Bottom Up เพื่อหาหุ้นที่มีเสถียรภาพในช่วงที่ตลาดต่างประเทศย่ำแย่

 

          จากข้อมูลดังกล่าวกลยุทธ์การลงทุนจึงวิเคราะห์บนพื้นฐานว่า 1.) SET ฟื้นตัวผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และขึ้นรอเลือกตั้ง ก่อนจะเข้าสู่ Global recession 2.) รัฐบาลใหม่ที่เข้ามา ล้วนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ 3.) ดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้พีคแล้ว และจะเริ่มปรับลง

 

          ดังนั้น มองว่าผู้ได้ประโยชน์ คือ หุ้นธนาคาร โดยระยะสั้นจะได้รับประโยชน์จาก Fund Flow ที่ไหลเข้าก่อนกลุ่มอื่น ส่วนระยะยาวเมื่อดอกเบี้ยขาลง จึงค่อยกลับมาดูปัจจัยพื้นฐาน

 

          กลุ่มที่สองคือการบริโภคในประเทศ และการท่องเที่ยว ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอยู่ที่ 15-20% ของ Pre-Covid ซึ่งเดือนตุลาคมนี้ที่เป็นช่วง Golden Week จะเป็นบทสอบแรกว่าคนจีนจะกลับมาขนาดไหน อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้ยังมี Growth Story ต่อไปได้อีก 1-2 ปี นอกจากนี้ แนะนำการเล่นในธีม Bottom Fishing หรือซื้อหุ้นที่ราคาอยู่โซนจุดต่ำสุด โดยเข้าถือเพื่อลงทุนในระยะยาว

 

สุดท้ายนี้แม้การเลือกหุ้นในระยะยาว 3-5 ปี จะวิเคราะห์ได้ยาก แต่ทางเราก็มองว่าไอเดียการลงทุนในกลุ่มที่เป็น Long Term Sustainable Growth อย่างเช่นกลุ่ม Healthcare Pharma นั้นถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจทีเดียว

SETInvestHow-QR

          สำหรับใครที่คิดจะซื้อหุ้นสักตัวในช่วงนี้ สิ่งสำคัญคือข้อมูลอย่างรอบด้าน ตลาดหลักทรัพย์ฯ สำนักงาน ก.ล.ต. และสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ได้ร่วมดำเนินโครงการจัดทำบทวิเคราะห์สำหรับผู้ลงทุน ให้มีความครอบคลุมหลักทรัพย์มากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลช่วยประกอบตัดสินใจลงทุน เห็นโอกาสชัดเจนขึ้น

          สุดท้ายนี้หากนักลงทุนสนใจเริ่มต้นลงทุนในหุ้นกลุ่มต่าง ๆ และต้องการข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์เชิงลึก ตลาดหลักทรัพย์ฯ นักลงทุนสามารถสมัครใช้บริการ SETSMART ได้เพียงในราคา 250 บาทต่อเดือน คลิกที่นี่

นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถค้นหาข้อมูลหุ้นที่น่าสนใจแบบครบทุกมิติจากบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ คลิกที่นี่

ปุ่ม erc
ปุ่ม setsmart
แท็กที่เกี่ยวข้อง: