ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา โลกเราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิสูงหรือต่ำผิดปกติ ฝนตกหนัก ฝนแล้ง ลมพายุรุนแรง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีสาเหตุหนึ่งมาจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) มากเกินสมดุลของธรรมชาติ ซึ่งก๊าซเรือนกระจกคือกลุ่มก๊าซที่เป็นองค์ประกอบของบรรยากาศโลกที่ห่อหุ้มโลกไว้เสมือนเรือนกระจก โดยมีคุณสมบัติดูดซับและกักเก็บรังสีความร้อนเพื่อช่วยให้โลกมีอุณหภูมิที่เหมาะสมและเอื้อต่อการอยู่อาศัย อย่างไรก็ตามเมื่อก๊าซเหล่านี้มีปริมาณมากเกินไปและรวมตัวกันอย่างหนาแน่นบนชั้นบรรยากาศโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) เสมือนโลกมีเรือนกระจกที่กั้นรังสีความร้อนเอาไว้ ทำให้รังสีของดวงอาทิตย์ที่ควรจะสะท้อนกลับออกไปถูกกักเก็บไว้ จนอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกค่อย ๆ สูงขึ้น หรือที่เราเรียกกันว่า ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ก๊าซเรือนกระจกประกอบด้วยก๊าซหลายชนิด ซึ่งสามารถเกิดจากธรรมชาติและจากกิจกรรมของมนุษย์ ก๊าซเรือนกระจกมีทั้งหมด 7 ชนิดที่สำคัญ (อ้างอิงจากพิธีสารเกียวโต: Kyoto Protocol) ได้แก่
ดังนั้น เพื่อวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดที่มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อน (Global Warming Potential: GWP) ที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมี “ค่ากลาง” การวัดเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) จึงได้กำหนดค่ากลางโดยคำนวณค่าศักยภาพในการกักเก็บความร้อนของก๊าซแต่ละชนิดให้เทียบกับศักยภาพในการกักเก็บความร้อนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนเท่ากับ 1 ซึ่งจะมีหน่วยเป็น คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (Carbon dioxide equivalent : CO2e) ตัวอย่างเช่น หากเราปล่อยก๊าซมีเทน 1 กิโลกรัม จะเทียบเท่ากับ 25 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) เป็นต้น
นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม (ปี 1850) การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมและการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้มีการขยายตัวอย่างมาก ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ รายงานประเมินสถานการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Assessment Report: AR6) โดยคณะกรรมการ IPCC ระบุว่าอุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกช่วงปี 2011 – 2020 เพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงปี 1850 – 1900 ประมาณ 1.09 [0.95 to 1.20] องศาเซลเซียส และหากปริมาณก๊าซเรือนกระจกยังคงเพิ่มสูงขึ้น คาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกอาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส ในปี 2040
ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อวางแผนลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดแนวคิดที่ใช้ในการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เรียกว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) หรือรอยเท้าคาร์บอน ซึ่งคาร์บอนฟุตพริ้นท์สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรจะทำให้องค์กรทราบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารความเสี่ยง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าโลก รวมทั้งสร้างโอกาสด้านการลงทุนร่วมกับกลุ่มธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย
จากรายงาน Climate Change 2022 : Mitigation of Climate Change โดยคณะกรรมการ IPCC ระบุว่า ตั้งแต่ปี 1850 ถึงปี 2019 ทั่วโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมประมาณ 2,400 จิกะตัน ซึ่งนับเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ยปีละ 35 – 36 จิกะตัน ในปี 2021 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 37.12 จิกะตัน เพิ่มขึ้น 5.3% จากปี 2020 หากต้องการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ทั้งโลกสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อีกไม่เกินประมาณ 500 จิกะตัน
ที่มา : www.carethebear.com
จะเห็นได้ว่ายังคงมีช่องว่างในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Budget) ได้อีกไม่มาก หากทั่วโลกยังไม่รีบปรับตัวหรือร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ภูมิอากาศของโลกในอีก 10 ปีข้างหน้าอาจแปรปรวนมาก แม้ประเทศไทยจะมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์เฉลี่ยประมาณ 0.3 จิกะตันต่อปี ซึ่งถือเป็นปริมาณที่ไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่จากรายงาน Global Climate Risk Index 2021 โดย German Watch ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เคลื่อนไหวเกี่ยวกับความเสมอภาคและการดำรงชีวิตของมนุษยชาติ รวมถึงติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเปิดเผยว่า “ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 9 ของประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว” เนื่องจากประเทศไทยมีการสะสมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาอย่างต่อเนื่องและเกิดเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรง ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ภาคธุรกิจและระบบเศรษฐกิจของประเทศในหลาย ๆ ด้าน เช่น เกษตรกรรม การท่องเที่ยว และการค้า
จึงอาจกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุน นักลงทุนในปัจจุบันจึงจำเป็นต้องเข้าใจและติดตามประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบจากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่อทิศทางในการดำเนินธุรกิจและแนวโน้มในการลงทุน
อ้างอิงข้อมูลจาก
สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้แนวคิด ความสำคัญ และแนวโน้มการเติบโตของการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เทรนด์การลงทุนระยะสั้น แต่กำลังเป็นการลงทุนกระแสหลักของโลก สามารถเรียนรู้ได้ผ่าน e-Learning หลักสูตร “ESG วิถีใหม่ลงทุนอย่างยั่งยืน” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่