ผู้เขียน คุณวิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA
ตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน
ฝ่าย กลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
สังกัด บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
นักลงทุนทุกคนที่ก้าวเข้ามาสู่โลกของการลงทุนล้วนแล้วต้องมีคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญ "ความพร้อมในการเรียนรู้" เพราะโลกของการลงทุนนั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ตลอดจนกลยุทธ์การลงทุน ความรู้ที่ถูกถ่ายทอดมาจากหนังสือ ตลอดจนแนวคิดทฤษฎีต่างๆ นั้นอาจจะใช้ได้ในการลงทุนเพียงบางเวลาและอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นในโลกที่นักลงทุนเปรียบเสมือนกับนักเรียนผู้ใฝ่รู้ตลอดเวลา ย่อมต้องพัฒนาตนเอง แสวงหาโอกาสการลงทุน ตลอดจนผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนต่างๆ หนทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมในช่วงที่ผ่านมาคือการหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ในด้านการลงทุนทั้งส่วนตัวและการในด้านการทำงาน ผู้เขียนมักจะใช้วิธีการศึกษาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น โทรศัพท์มือถือ (APPLE) แอพพลิเคชั่นประชุมออนไลน์ (ZOOM, MSFT) และใช้เป็นโจทย์หลักในการค้นหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆเสมอ ซึ่งในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าสินค้าในชีวิตประจำวันของเรานั้น มักจะเป็นบริษัทข้ามชาติและมีการจดทะเบียนซื้อขายในต่างประเทศ ดังนั้นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนด้วยการลงทุนต่างประเทศจึงเป็นคำตอบหนึ่ง สำหรับผู้ที่สนใจจะเป็นเจ้าของกิจการที่น่าสนใจในระยะยาว
ในปัจจุบันการลงทุนทั่วโลกไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากอีกต่อไป โดยผู้ให้บริการทางการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ ตลอดจนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ได้มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลายรูปแบบ โดยรูปแบบที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันจะอยู่ใน 2 รูปแบบ
เครื่องมือทางการเงิน (Financial Vehicle) ที่มากขึ้น จะช่วยนักลงทุนให้สามารถเข้าใกล้เป้าหมายของการลงทุนได้ง่ายมากขึ้น อย่างไรก็ดี เราก็ต้องยอมรับด้วยว่าในปัจจุบันการที่จะซื้อกองทุนรวมหรือการซื้อขายหุ้นทางตรงนั้นมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป
ข้อดีของกองทุนรวม
ข้อจำกัดของกองทุนรวม
ในด้านผลิตภัณฑ์การลงทุนซื้อขายหุ้นต่างประเทศทางตรงนั้น จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ โดยการลงทุนซื้อหุ้นต่างประเทศทางตรงนั้น เหมาะสมกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในการลงทุนมาแล้วในระดับหนึ่ง เนื่องจากมีความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนและระยะเวลาในการซื้อขาย (Time Zone) นั้นมีความแตกต่างกับของประเทศไทย
การลงทุนต่างประเทศทางตรง คือ การเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ เพื่อทำการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นๆ โดยตรง ตามเวลาทำการของตลาดใดๆ ที่นักลงทุนสนใจ
ข้อดีของการลงทุนหุ้นต่างประเทศทางตรง
ข้อจำกัดของการลงทุนหุ้นต่างประเทศตรง
ดังนั้นหากพิจารณาผลิตภัณฑ์ทางการเงินทั้ง 2 ประเภทแล้ว แม้ว่าจะมีจุดมุ่งหมายคือเพื่อการลงทุนในต่างประเทศเหมือนกัน แต่นักลงทุนต้องยอมรับว่าทั้ง 2 วิธีนั้นมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป การเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนจึงเป็นตัวแปรที่สำคัญเช่นกัน
วันที่ 29 กันยายน 2565 ทางตลาดหลักทรัพย์และธนาคารกรุงไทยได้ทำการออกผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนอย่าง DRx หรือ Fractional Depositary Receipt ซึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อหุ้นหรือหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยนักลงทุนสามารถซื้อขายผ่าน Application Streaming แต่จะต้องทำขอเปิดบัญชีเพิ่มเติมผ่าน Streaming เดิมได้ทันที (อาจจะต้องมีการลงนามในเอกสารเพิ่มเติมตามขั้นตอนของแต่ละบริษัทหลักทรัพย์) ซึ่งผู้เขียนจะขออนุญาตไม่ลงในรายละเอียด
กลับมาคุยกันถึงลักษณะผลิตภัณฑ์ของ DRx นั้นมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง เมื่อเทียบกับการลงทุนต่างประเทศผ่านกองทุนและการลงทุนต่างประเทศทางตรง
ข้อดี
เมื่อผู้อ่าน อ่านมาถึงจุดนี้น่าจะเริ่มพอเข้าใจถึงข้อดีข้อเสียของการลงทุนผ่าน DRx, กองทุนและการลงทุนต่างประเทศทางตรงอย่างคร่าวๆ ไปบ้างแล้ว ก่อนที่ผู้เขียนจะพาผู้อ่านเข้าไปสู่กลยุทธ์การลงทุนและการนำ DRx มาใช้ในการบริหาร Portfolio นั้น ทางผู้เขียนอยากจะให้นักลงทุนเข้าใจข้อแตกต่างระหว่าง DR และ DRx ก่อน โดยผลิตภัณฑ์ DR นั้นจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียด ทั้งเรื่องขนาดการซื้อขายขั้นต่ำที่สูงกว่า และระยะเวลาการซื้อขายที่มีเพียงแค่ช่วงเดียว อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสังเกตก็คือหลักทรัพย์อ้างอิงของ DR นั้นมีตั้งแต่ ETF ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศ ไปจนถึงหุ้นรายตัว ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นหุ้นของประเทศจีน เช่น BYD , XIAOMI ดังนั้นถ้าใครที่อยากจะได้ DR ในหุ้นอย่าง AAPL ตลอดจน TSLA นั้นอาจจะต้องขยับไปมองทาง DRx แทนที่จะเป็น DR
รูปภาพที่ 2 : เปรียบเทียบระหว่าง DR vs DRx
บทบาทของ DRx นั้นเหมือนหรือต่างจาก DW อย่างไร?
นักลงทุนบางท่านอาจจะเข้าใจว่าการลงทุนใน DRx นั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับการลงทุนใน DW (Derivative warrant) โดยทั้ง 2 ตราสารแม้ว่าจะมีการซื้อขายบน Streaming Application เหมือนกัน แต่ในการใช้งานและหน้าที่บน
Portfolio นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย DRx สามารถใช้ได้ในด้านการหากำไรและการกระจายความเสี่ยงบน portfolio (Diversification) ในขณะที่ DW นั้นสามารถใช้ได้ใช้ในด้านการเก็งกำไรและการป้องกันความเสี่ยงบน Portfolio (Hedging)
การนำ DRx ไปใช้ในการบริหารความมั่งคั่ง
ในด้านการบริหารความมั่งคั่ง ตลอดจน Portfolio Management แล้ว ในทางปฏิบัตินั้น DRx นั้นไม่ได้มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเท่าใดนัก (หากไม่สนใจในประเด็นค่าธรรมเนียมและรายละเอียดอื่นๆ) ดังนั้นการใส่ DRx ใน Portfolio จำเป็นจะต้องมีการระบุวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น เป็นการลงทุนระยะยาว, เป็นการกระจายความเสี่ยงในระยะสั้น หรือเป็นการเก็งกำไรในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เป็นต้น โดยปกติก่อนที่เราจะทำการลงทุนในตัวของ DRx แล้ว ทางผู้เขียนมักจะทำการเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและ DRx ก่อนเสมอ ว่าการเคลื่อนไหวนั้นมีความสอดคล้องกันหรือไม่ ซึ่งเป็นขั้นตอนการลงทุนขั้นพื้นฐานก่อนที่จะเริ่มทำการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีการอ้างอิงกับหลักทรัพย์หลัก หลังจากนั้นจึงเริ่มทำการกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
วิธีการใช้ DRx สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้น ทางผู้เขียนขออ้างอิงราคาหลักทรัพย์แม่เป็นหุ้น AAPL ซึ่งในด้านกลยุทธ์ที่นักลงทุนรู้จักกันดีคือ “เก็งงบ” หรือการคาดหวังว่างบการเงินของบริษัทดังกล่าวจะออกมาดี อย่างไรก็ดี จากการทดสอบกลยุทธ์ดังกล่าวทาง DAOL พบว่าการลงทุนในหุ้น AAPL หลังงบออกมักจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม (S&P500) และอีกกลยุทธ์ที่มักจะได้รับความนิยมในการลงทุน AAPL ก็คือการซื้อเก็งการเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ (หรือไอแพดรุ่นใหม่) โดยทางบริษัทแอปเปิ้ลเองนั้น มักจะมีการประกาศวันที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้กับนักลงทุน โดยจากการศึกษาของ DAOL พบว่ากลยุทธ์ดังกล่าวมักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิงอย่าง S&P 500 ใน 1 สัปดาห์ก่อนที่จะมีงานดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์ดังกล่าวผ่านการลงทุน DRx ได้เพื่อใช้ในการเก็งกำไรและสร้างความมั่งคั่ง โดยกลยุทธ์ดังกล่าวที่ทางผู้เขียนนำเสนอนั้น ไม่ได้นำเรื่องค่าธรรมเนียม, การจับจังหวะตลาด เข้ามาใช้ในการประเมินด้วย ตลอดจนการคิดราคาซื้อขายนั้นมองในรูปแบบราคาปิดเทียบกันเท่านั้น ซึ่งหากนักลงทุนมีประสบการณ์ในการจับจังหวะตลาดจะยิ่งสามารถช่วยให้การซื้อขายระยะสั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีการใช้ DRx สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง - ยาว
ในการลงทุนระยะยาว ทางผู้เขียนคิดว่าการใช้ DRx เข้ามาจัด Portfolio โดยรวมนั้นมองได้ 2 รูปแบบเช่นกัน รูปแบบแรกเป็นการทำ DCA ในระยะยาว (Dollar Cost Average) โดยจะทำการซื้อ DRx ดังกล่าวเข้าไปด้วยจำนวนเงินเท่าๆกันทุกเดือน เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นแม่ของ AAPL เช่นเดียวกัน
สำหรับอีกกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนที่มีการซื้อขายหรือปรับ Portfolio เป็นระยะๆ นั้น การใช้ DRx สำหรับการบริหารความเสี่ยงย่อมสามารถทำได้ด้วยเช่นกัน ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอแนวคิดการกระจายความเสี่ยงไปในช่วงก่อนหน้านี้ (Diversification) โดยพบว่าการกระจายการลงทุนนั้นตามหลักทฤษฎีมีเป้าประสงค์เพื่อลดความเสี่ยง (Volatility) และเพิ่มประสิทธิภาพของ Portfolio ซึ่งจะสะท้อนผ่าน Sharpe Ratio ที่มีค่าสูงขึ้น (เป็นการเทียบระหว่างผลตอบแทนที่หักผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงต่อความเสี่ยงของ Portfolio โดยรวม) จากการจำลองการจัด Portfolio พบว่า การเพิ่ม DRx ในหุ้นต่างประเทศลงไปช่วยให้ประสิทธิภาพของนักลงทุนในระยะยาวเพิ่มสูงขึ้นตามหลักทฤษฎีและช่วยให้โอกาสรอด ชีวิตของนักลงทุน (Portfolio Surviving Probability) ในตลาดทุนสูงขึ้นด้วย
การลงทุนใน DRx นักลงทุนควรต้องศึกษาอะไรจากหุ้นแม่อย่าง AAPL และ TSLA บ้าง?
การลงทุนใน DRx ระยะสั้นนั้นอาจจะเป็นลักษณะ Technical trading (ซื้อขายตามกราฟเทคนิคอล) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนมากคุ้นเคยกันดี ทางผู้เขียนนั้นมองว่าการลงทุนในระยะกลาง – ยาว หุ้นต่างประเทศอย่าง AAPL และ TSLA นั้นจำเป็นจะต้องมีการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นตัวแปรหลัก ซึ่งทางผู้เขียนขออนุญาตยกการวิเคราะห์ของทางบริษัทหลักทรัพย์ DAOL มาเป็นตัวอย่าง ว่าปัจจัยใดบ้างที่มีความสำคัญ
Apple (AAPL US)
Bloomberg Consensus: Target Price: $169.03
Price: $148.50 (Upside 12.42%)
Apple (AAPL US) หนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเจ้าของ iPhone ซึ่งเป็น Smartphone ระดับ High - End ที่มีส่วนแบ่งทางตลาด (Market Share) อันดับหนึ่ง ทั้งยังเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ชั้นนำอย่าง iMac, iPad, MacBook, Airpod และ Accessories อื่นๆอีกมากมาย ปัจจุบันบริษัทเริ่มเน้นธุรกิจบริการอย่าง Apple Music, Apple TV Plus, Apple Pay และ Apple Store ทั้งยังมีรายได้จากการโฆษณาผ่านช่องทางต่างๆของบริษัทอีกด้วย
มุมมองเชิงบวก (Bull Says)
มุมมองเชิงลบ (Bear Says)
โอกาสเติบโต (Growth Opportunities)
ยอดขาย iPhone ในระยะยาวจะเติบโตจากราคาที่สูงขึ้นมากกว่าจำนวนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาด Smartphone นั้นเริ่มอิ่มตัวแล้ว ในขณะที่ส่วนที่โตมากที่สุดในระยะสั้น - กลาง จะเป็นรายได้จากฝั่งการบริการ จากการเพิ่มบริการโฆษณาแฝงเข้าไปใน App Store และรายได้จากค่า Subscription บริการต่างๆ ในระยะยาวต้องติดตามผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของ Apple ว่าจะมีอะไรที่สร้าง S - Curve ใหม่ให้แก่บริษัทได้บ้าง ซึ่งหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ต้องจับตาในช่วงนี้คือแว่น AR/VR ที่อาจมีการเปิดตัวในปีนี้ - ปีหน้า
Tesla, Inc. (TSLA US)
Bloomberg Consensus: Target Price: $211.71*
Price: $173.44 (Upside 18%)
Tesla (TSLA US) บริษัทออกแบบ ผลิต และจำหน่ายรถพลังงานนำไฟฟ้า นอกจากนั้นยังมีธุรกิจพลังงานทั้ง Solar Roof, Powerwall, Battery ปัจจุบันมีโรงงานทั้งหมด เป็น Tesla Factory ที่ Fremont และเป็น Giga Factory ที่เนวาดา สหรัฐฯ เซี่ยงไฮ จีน และเท็กซัส สหรัฐฯ ปี 2020 Tesla กลายเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุด และมีกำลังการผลิตกว่า 2 ล้านคันต่อปี นอกจากนั้นบริษัทได้นำเทคโนโลยี AI มาพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autopilot)
มุมมองเชิงบวก (Bull Says)
มุมมองเชิงลบ (Bear Says)
โอกาสเติบโต (Growth Opportunities)
คำแนะนำและมุมมอง (Guidance & Outlook)
บริษัทมีการแจงยอดส่งมอบรถในปี 2023 ไว้ที่ 1.8 – 2 ล้านคัน นอกจากนี้ยังมีการเริ่มส่งมอบ Tesla Semi Truck ไปแล้วพร้อมประกาศขยายไลน์การผลิตรถบรรทุกพ่วง (Semi – Truck) ในเนวาดา สหรัฐฯ ด้วยงบลงทุนกว่า $3.5Bn นอกจากนั้นจะเริ่มผลิตรถ Tesla Semi Truck ในช่วงกลางปีนี้ และจะส่งมอบให้ลูกค้าได้ภายในปี 2024
สุดท้ายนี้การใช้ DRx สำหรับการบริหารการลงทุนยังสามารถทำได้อีกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการค้ากำไรโดยปราศจากความเสี่ยง (Arbitrage) ในกรณีที่ DRx กับหุ้นแม่มีการถ่างออกของราคา หรือ การทำ Statistical Arbitrage ซึ่งเป็นเทคนิคการลงทุนขั้นสูงไปอีกขั้น โดยในวันนี้ผู้เขียนขออนุญาตนำเสนอเพียงแค่การนำไปใช้ในเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ขอลงลึกในรายละเอียด หากมีโอกาสนำเสนอเพิ่มเติมในอนาคตคงจะได้นำมาแบ่งปันความรู้และเทคนิคให้กับนักลงทุนเพิ่มเติม
แม้ว่าปัจจุบัน DRx จะมีเพียงไม่กี่หลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย แต่การเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนไม่ว่าจะเป็น 0.1% หรือ 1% ก็ตาม ย่อมทำให้ทางเลือกและความหลากหลายในการลงทุนนั้นเพิ่มสูงขึ้น หากเรามองไปในอนาคต โดยภาพรวมแล้วทางผู้เขียนคาดหวังว่าหากผลิตภัณฑ์ทางการเงินดังกล่าวมีความนิยมเพิ่มขึ้น และถูกนำมาใช้ในการสร้างความมั่งคั่งและบริหารความเสี่ยงควบคู่ไปกับการซื้อขายหุ้นไทยตลอดจนสินทรัพย์อื่นๆ ในอนาคต ย่อมต้องมี DRx หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ออกมาเพื่อช่วยให้การลงทุนของนักลงทุนไทยง่ายขึ้น สะดวกขึ้นและทันสมัยมากขึ้นอย่างแน่นอน