อยากลงทุนในกองทุนรวมแต่ไม่รู้จะลงทุนในกองไหนดี เพราะกองทุนก็มีให้เลือกมากมาย เรื่องนี้ไม่ยาก แค่ต้องทำความรู้จักกับกองทุนที่สนใจด้วยการดูข้อมูลใน Fund Fact Sheet!
Fund Fact Sheet คือ หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญของกองทุนรวม ซึ่งจะแสดงข้อมูลสำคัญหลักๆ ของกองทุนไว้ เช่น
ขั้นตอนแรกควรดูชื่อและประเภทของกองทุนรวมที่เราสนใจจะลงทุนก่อนเสมอ เช่น กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารตลาดเงิน (KTSS) เป็นกองทุนรวมตลาดเงินที่ลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศ อายุไม่เกิน 1 ปี เช่น เงินฝากธนาคาร พันธบัตร ตั๋วเงินหลัง และตั๋วแลกเงิน เป็นต้น อีกทั้งจะทำให้เรารู้ว่า กองทุนนั้นๆ มีกลยุทธ์การบริหารกองทุนแบบเชิงรุก (Active Management) หรือ กองทุนแบบเชิงรับ (Passive Management) ซึ่งทั้งสองกลยุทธิ์นี้มีนโยบายที่แตกต่างกัน จึงต้องเช็กก่อนเสมอ เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายของการลงทุนที่เราต้องการ
ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน เราต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าสามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้ระดับใด ซึ่งกองทุนรวมจะถูกแบ่งระดับความเสี่ยงออกเป็น 8 ระดับ เรียงจากระดับความเสี่ยงต่ำที่สุดไปจนถึงระดับความเสี่ยงสูงมาก ได้แก่
เมื่อดูระดับความเสี่ยงแล้ว ขั้นตอนต่อไปให้ดูที่สัดส่วนของประเภทสินทรัพย์ที่กองทุนได้ลงไว้ โดยใน Fund Fact Sheet จะบอกข้อมูลสินทรัพย์ 5 อันดับแรก ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน โดยหากเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นก็จะระบุเป็น กลุ่มอุตสาหกรรม ประเภทหลักทรัพย์ และชื่อหลักทรัพย์ แต่ถ้าหากเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารนี้ก็จะบอกอันดับความน่าเชื่อถือและชื่อผู้ออกตราสาร 5 อันดับแรกด้วย เพื่อเช็กดูว่ากองทุนนั้นมีการลงทุนในอะไรเป็นหลัก แบ่งสัดส่วนออกเป็นยังไงบ้าง ตรงกับที่เราต้องการหรือไม่
จากนั้นค่อยไปศึกษาเพิ่มเติมว่าสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุนนั้นเป็นอย่างไร เช่น ถ้าหากเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้น ก็ควรศึกษาเพิ่มเติมว่าบริษัทนั้นเป็นอย่างไร เป็นบริษัทที่น่าลงทุนหรือไม่
ถ้าอยากรู้ว่า กองทุนที่เราสนใจมีผลประกอบการย้อนหลังเป็นอย่างไรบ้าง ก็สามารถดูได้ที่ผลการดำเนินงานย้อนหลังใน Fund Fact Sheet ซึ่งแสดงอัตราผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 5 ปี 10 ปี หรือตั้งแต่ปีที่จัดตั้งกองทุน ทำให้เราทราบถึงผลการดำเนินงานของกองทุนและผลการบริหารกองทุนว่าสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนหรือไม่ เช่น
กองทุนที่เราสนใจมีนโยบายแบบเชิงรุก สิ่งที่เราคาดหวังคือกองทุนนี้จะต้องเอาชนะดัชนีชี้วัดได้ แต่เมื่อไปดูผลการดำเนินงานย้อนหลังพบว่า กองทุนนี้แพ้ดัชนีชี้วัดบ่อยครั้งและแทบจะทุกปี แบบนี้ก็ต้องพิจารณากองทุนใหม่กันแล้วล่ะ แต่ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในอดีตก็ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคตหลังจากที่ดูข้อมูลอื่นๆ กันไปจนครบแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก็จะเป็นส่วนของข้อมูลค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในการบริหารกองทุนรวม เพื่อให้เรารู้ว่าการลงทุนครั้งนี้จะมีการถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมอะไรบ้างและจำนวนเท่าไร ปกติแล้วใน Fund Fact Sheet จะแบ่งค่าธรรมเนียมออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ
ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม
โดยคิดเป็น % ต่อปี ของค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ NAV (Net Asset Value) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนรวม เช่น ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee) ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์กองทุน ค่านายทะเบียนหน่วยลงทุน ค่าผู้สอบบัญชี ค่าใช้จ่ายในการจัดทำและแจกจ่ายหนังสือชี้ชวน เป็นต้น
ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากนักลงทุนโดยตรง
คือ ค่าธรรมเนียมการทำรายการต่างๆ ของผู้ถือหน่วยลงบนกองทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end-fee) และ ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end-fee) ค่าธรรมเนียมในการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ค่าธรรมเนียมในการโอนหน่วยลงทุนให้กับบุคคลอื่น หรือค่าปรับกรณีขายคืนหน่วยลงทุนก่อนระยะเวลาถือครองที่กำหนดในโครงการ (Exit Fee) เป็นต้น
นี่ก็เป็นหลักการง่ายๆ สำหรับการเริ่มต้นดู Fund Fact Sheet สำหรับมือใหม่ จะเห็นว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่ใช้เวลาสักนิดหน่อยเพื่อศึกษากองทุนจาก Fund Fact Sheet ให้ครบถ้วน เราก็จะมองเห็นภาพรวมของกองทุนรวมนั้นได้ชัดเจนมากขึ้น และเริ่มตัดสินใจได้ว่าควรจะลงทุนในกองทุนนี้ดีมั้ย
สำหรับนักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. หากออมเงินผ่านกองทุนรวมในโครงการ “AOM YOUNG” เริ่มต้นลงทุนเพียง 100 บาท สามารถนับชั่วโมงจิตสาธารณะ 1 ชม. ทุกการออม 1 เดือนได้อีกด้วย ใครกำลังมองหาช่องทางดีๆ ในการลงทุนต้องไม่พลาด
ดูรายละเอียดโครงการ “AOM YOUNG” ออมเงินผ่านกองทุนรวมเพื่อประโยชน์ดีๆ สำหรับนักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. ได้ที่: www.setinvestnow.com/aomyoung
หมายเหตุ: ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน