จัดพอร์ตแบบไหน ใช่สำหรับปี 2566

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2 Min Read
16 กุมภาพันธ์ 2566
3.951k views
Inv_จัดพอร์ตแบบไหน ใช่สำหรับปี 2566_Thumbnail
Highlights

การลงทุนหุ้นให้ประสบความสำเร็จ นอกจากจะต้องเลือกสินทรัพย์ลงทุนให้ถูกต้องและลงทุนในราคาที่เหมาะสมแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การสร้างพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะแต่ละวงจรเศรษฐกิจ สินทรัพย์ลงทุนในแต่ละภูมิภาคหรือแต่ละประเทศ ย่อมมีเวลาที่รุ่งเรืองและเวลาที่ยากลำบากสลับกันไป ดังนั้น หากจัดพอร์ตลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ย่อมมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี ขณะเดียวกันอาจช่วยลดความเสียหายได้อีกด้วย

แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด ซึ่งมีการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 2.9% และมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยภายในของหลายประเทศ เช่น เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยุโรปก็รับมือกับวิกฤติพลังงานได้ดีกว่าคาด รวมถึงการเปิดประเทศของจีนที่ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกก็ยังมีปัจจัยลบที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เช่น สงครามรัสเซียกับยูเครน อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง และอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุนมีความผันผวนและรบกวนพอร์ตลงทุนเป็นระยะ ๆ ดังนั้น เพื่อรักษาอัตราผลตอบแทนและลดความเสี่ยง นักลงทุนต้องหากลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยกลยุทธ์ที่เหมาะกับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คือ การกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์และกระจายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะเมื่อเกิดความเสียหายจะได้ไม่สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไป

 

เนื่องจากสินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภทจะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ โดยในปีนี้มีการประเมินว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะมีความแตกต่างกัน (Divergence) ระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในแต่ละภูมิภาคหรือแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ดังนั้น การจัดพอร์ตลงทุนในลักษณะนี้จึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี ขณะเดียวกันสามารถลดความผันผวนภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกันได้

Inv_จัดพอร์ตแบบไหน ใช่สำหรับปี 2566_01

คำอธิบายเพิ่มเติม

  • Lg Cap คือ หุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ของดัชนี S&P 500
  • Sm Cap คือ หุ้นกลุ่มขนาดเล็กของดัชนี Russell 2000
  • Int’l Stk คือ ดัชนี MSCI EAFE เป็นตลาดหุ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
  • EM คือ ดัชนี MSCI Emerging Market เป็นตลาดหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
  • REIT คือ ดัชนี FTSE NAREIT All Equity เป็นดัชนีของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่รวมถึงทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs)
  • HG Bnd คือ ดัชนี Bloomberg Barclays U.S. Agg เพื่อวัดผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับสูง
  • HY Bnd คือ ดัชนี ICE BofA US High Yield เพื่อวัดผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับน่าลงทุน
  • Cash คือ ดัชนี S&P U.S. Treasury Bill 0 – 3 Mth Index เพื่อวัดผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุสั้น
  • AA คือ การจัดพอร์ตลงทุน โดยลงทุนหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ของดัชนี S&P 500 (15%) / ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (15%) / หุ้นกลุ่มขนาดเล็กของดัชนี Russell 2000 (10%) / ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (10%) / REITs (10%) และดัชนี Bloomberg Barclays U.S. Agg (40%)

      

จากตารางด้านบน แสดงอัตราผลตอบแทนและการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์การลงทุนหลายประเภทในช่วงปี 2008 – 2022 พบว่าสินทรัพย์ประเภทเดียวกันจะให้ผลตอบแทนที่ไม่สม่ำเสมอ เช่น ปี 2008 ดัชนี ICE BofA US High Yield (HY Bnd) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ (-26.4%) แต่ในปีถัดมากลับสร้างผลตอบแทนสูงกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ (57.5%) หรือในปี 2021 REIT ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุด (41.3%) แต่ในปีถัดมาให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด (-24.4%) เช่นเดียวกับกรณีการจัดพอร์ตลงทุน ในปี 2021 ให้ผลตอบแทน 10.9% แต่ในปีถัดมาติดลบ -16.50% เป็นต้น

 

สำหรับปัจจัยที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพจากการจัดพอร์ตลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์และกระจายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ คือ การกำหนดเป้าหมายที่แน่นอน เช่น หากนักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ยังต้องการผลตอบแทนอยู่บ้าง ซึ่งผลตอบแทนจะอยู่ในระดับต่ำ ควรเลือกลงทุนในตราสารหนี้ โดยเน้นที่พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade

 

แต่หากต้องการผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอนและรับความเสี่ยงได้ปานกลาง ควรเลือกลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ เช่น กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade กองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายลงทุนหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ หรือกอง REIT เป็นต้น และหากต้องการผลตอบแทนสูงและรับความเสี่ยงได้สูงเช่นกัน ก็ควรจัดพอร์ตลงทุนให้มีสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เน้นลงทุนในตลาดหุ้นที่ยังคงให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจ และลงทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก เป็นต้น

 

เมื่อกำหนดเป้าหมายและเลือกสินทรัพย์ลงทุนแล้ว จากนั้นก็เลือกตลาดที่ยังคงให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งต้องศึกษาข้อมูลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความหลากหลายของสินทรัพย์ลงทุนเพื่อประกอบการตัดสินใจ และเนื่องจากมีการลงทุนที่หลากหลายและทั่วโลก ดังนั้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงก็ต้องคอยติดตามและปรับพอร์ตลงทุนให้สอดคล้องตามไปด้วย

 

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และใช้เพื่อสำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้วิธีการสร้างและบริหารพอร์ตหุ้นอย่างมืออาชีพ พร้อมเจาะลึกเทคนิคจัดทำแผนการลงทุนทั้งระยะสั้นและระยาว เพื่อสร้างพอร์ตลงทุนให้เติบโต สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Portfolio Strategy” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: