นักลงทุนที่ลงทุนหุ้นจีนในปีนี้คงจะปาดเหงื่อไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีนที่ปรับตัวลงมากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งมูลค่าตลาดจากต้นปีหายไปแล้วกว่า 1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ จากมาตรการจัดระเบียบกลุ่มธุรกิจของรัฐบาลจีนที่ตอกย้ำความเป็น “สังคมนิยม” มากกว่า “ทุนนิยม”
โดยจีนเห็นว่าประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในประเทศต้องมาก่อนทุนนิยม หรือที่เรียกว่าระบบ State Capitalist ซึ่งเป็นไปตามนโยบายใหม่ของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ที่ชื่อว่า “มั่งคั่งร่วมกัน (Common Prosperity)”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจัดระเบียบนี้จะมีมาอย่างเข้มข้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่ผู้คุมกฎของจีนได้กล่าวไว้เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า จะยังเดินหน้าจัดระเบียบต่อไปอีกในช่วง 5 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากเป็นเช่นนี้ ในฐานะนักลงทุนจะต้องเตรียมตัวศึกษาข้อมูลเพื่อสามารถสร้างโอกาสลงทุนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
การจัดระเบียบธุรกิจของทางการจีนนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่
หากมองย้อนกลับไปจะพบว่า ทางการจีนได้จัดระเบียบธุรกิจมาหลายปีแล้ว เช่น ในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล โดยทางการจีนได้ออกกฎหมาย Cybersecurity ในปี 2560 ให้บริษัทต่างชาติต้องจัดเก็บข้อมูลบนฐานข้อมูลในจีน เช่น บริษัท Apple หรือ Tesla ต้องสร้างฐานข้อมูลในจีนและย้ายข้อมูลชาวจีนทั้งหมดมาเก็บไว้ หรือการจัดระเบียบธุรกิจเกม ด้วยการยกเครื่องกฎระเบียบและการออกใบอนุญาตของเกมและตั้งคณะกรรมการจริยธรรมเกมออนไลน์ตั้งแต่ปี 2561 รวมถึงเริ่มจำกัดเวลาในการเล่นเกมของเด็กในปีถัดมา
ปลายปี 2563 จีนเน้นจัดระเบียบธุรกิจเข้มข้นมากขึ้น
ประเด็นนี้มีการกล่าวกันว่า การที่ทางการจีนทำการจัดระเบียบอย่างเข้มข้นเนื่องจากใกล้ครบเทอมของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากคนส่วนใหญ่ก่อนจะเป็นประธานาธิบดีต่อสมัยที่ 3 โดยการจัดระเบียบครั้งนี้ครอบคลุมถึงเรื่องการผูกขาดทางการค้าของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Alibaba, Meituan บริษัทที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันกวดวิชา ธุรกิจเกม เช่น TAL Education, Tencent บริษัทที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านข้อมูล เช่น Didi ที่มีข้อมูลผู้ใช้รถและแผนที่เมืองของจีน ซึ่งจะเห็นภูมิศาสตร์ของประเทศ รวมถึงการจำกัดไม่ให้บริษัทจีนไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยส่งเสริมให้บริษัทจีนจดทะเบียนผ่านตลาดหุ้นจีนหรือฮ่องกงแทน
จีนเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่เศรษฐกิจเติบโตได้ในวิกฤติ COVID-19
ในปี 2563 เศรษฐกิจจีนโต 2.3% และยังฟื้นตัวต่อได้อีกในครึ่งปีแรกของปีนี้ โดยเติบโตถึง 12.7% ทำให้เป้าของรัฐบาลจีนที่ตั้งไว้ที่ 6% ในปีนี้มีความเป็นได้ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม สัญญาณหลายอย่างกำลังบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเริ่มชะลอตัวตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไป เริ่มตั้งแต่ตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ออกมาต่ำกว่า 50 จุด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2563 ตอกย้ำด้วยวิกฤติขาดแคลนพลังงานและความเสี่ยงจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ Evergrande ที่ถึงแม้ว่าทางการจีนจะควบคุมได้ แต่ก็คงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนไม่มากก็น้อย โดย Morgan Stanley ได้ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนอาจเติบโตเหลือ 3% ในไตรมาส 4 ปีนี้ หากวิกฤติดังกล่าวยืดเยื้อ
อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจจีนเติบโตได้ต่ำกว่าเป้าของรัฐบาลที่ตั้งไว้ที่ 6% อาจเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่จากทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางจีนในช่วงต้นปี 2565 ก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น โดยประเมินว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางจีนจะมีมาตรการออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อถึงความเสี่ยงเรื่อง Evergrande เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยย้ำว่าจะควบคุมสถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้ลุกลาม และในภาพรวมภาคอสังหาริมทรัพย์จีนยังคงแข็งแกร่ง หลังจากที่มีมาตรการควบคุม (Macroprudential Regulation) อย่างใกล้ชิดในช่วงที่ผ่านมา
อีกประเด็นที่น่าจับตา ก็คือ สถานการณ์การเมืองระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา และอาจเชื่อมโยงไปถึงไต้หวัน หลังต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาออกมาเผยว่าเตรียมตอบโต้จีนหลังไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเฟส 1 ทำให้มีการจัดประชุมออนไลน์ระหว่างผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกากับรองนายกรัฐมนตรีของจีน โดยคาดการณ์ว่าอาจเกิดการประชุมออนไลน์ระหว่างประธานาธิบดี โจ ไบเดน และประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ก็เป็นได้ เพื่อลดความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนเตรียมจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งที่ 3 ในกรุงปักกิ่ง ต่อจากตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น โดยประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ถึงกับกล่าวเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า จีนจะเดินหน้าปฏิรูปกระดาน National Equities Exchange and Quotations (NEEQ) เพื่อสนับสนุนการเปิดการซื้อขายหุ้นของ SMEs จีน ในรูปแบบการซื้อขายนอกตลาด (OTC) เป็นสัญญาณว่าจีนหันมาสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมากขึ้น หลังจากที่ธุรกิจขนาดใหญ่ได้เติบโตขึ้นมากจนส่งผลให้มีการจัดระเบียบธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา
กล่าวโดยสรุป ในระยะยาวแล้วยังเชื่อว่าขนาดเศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่านี้ได้และมีโอกาสขึ้นมาทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่เป็นเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก โดยจะเป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำ ดังที่เห็นได้จากการที่ทางการจีนหันมาให้ความสำคัญกับประชาชนส่วนใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมากขึ้น ขณะที่ลดความสำคัญของธุรกิจขนาดใหญ่ลง ส่งผลให้ตลาดทุนเติบโตตามไปด้วย
สำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจ กระจายการลงทุนไปต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่าจะจัดสรรน้ำหนักการลงทุนอย่างไร สามารถเรียนรู้การวิเคราะห์ผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน การจัดสรรน้ำหนักการลงทุน และการเลือกสินทรัพย์ลงทุน ตลอดจนแนวทางการปรับพอร์ตลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการ ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Portfolio Rebalancing” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่