“ใครอยากเป็นเศรษฐี? ...ฉันน่ะสิฉันน่ะสิ ใครอยากมีรถทัวร์?...ฉันน่ะสิฉันน่ะสิใครอยากเป็นเจ้าสัว?...ฉันน่ะสิฉันน่ะสิใครอยากตัวหุ้มทอง?...ฉันน่ะสิฉันน่ะสิ” หนึ่งมุขตลกหรือเพลงสั้นที่สร้างความตลกขบขันและความบันเทิงในวงสนทนาของใครหลายคน
ซึ่งในความจริงนั้น การจะกลายเป็น “เศรษฐี” หรือหนึ่งในบริบทข้างต้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ลำบากและยากเย็นสำหรับใครหลายคน เพื่อที่จะให้ตัวเองประสบความสำเร็จหรือถึงเป้าหมายที่ตนเองวางไว้อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งบางคนก็อาจจะถึงฝั่งฝันได้ แต่ก็มีอีกมาก...ที่ไม่สามารถไปถึงได้เช่นกัน
ด้วยอุปสรรคอย่างสถานะทางการเงิน ภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไปจนถึงหนี้สินอันไม่พึงประสงค์ที่เกิดจาก ‘ความตั้งใจ’ และ ‘ไม่ตั้งใจ’ ก็ตาม ที่อย่าว่าแต่ความเป็นไปได้ที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นเศรษฐี...การจับเงินก้อนสักหนึ่งก้อนก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยด้วยซ้ำแต่ก็ไม่ใช่ว่าการที่เราจะอยู่เฉย ๆ หรือไม่มีภาระหนี้ จะสามารถทำให้เรามีเงินก้อนได้ง่ายๆ ดังนั้นเราจะต้องมีวิธีการ เทคนิค หรือเคล็ดลับ ซึ่งก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะนำมาใช้เป็นแนวทางและการกำหนดเป้าหมายด้วยเช่นกัน
สูตร (ไม่) ลับการออม...สร้างเงินก้อนด้วย ‘4 เทคนิค’ แสนง่าย
วันนี้ เรามี ‘4 เทคนิค’ ดี ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่กำลังสนใจหรือกำลังหาแนวทางในการสร้างเงินให้งอกเงยเป็นเงินก้อนในอนาคต ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ใครหลายคนอาจจะ ‘คาดไม่ถึง’ และเป็นวิธีที่สามารถเริ่มทำด้วยตัวเองได้
เทคนิคแรก ‘ฝึกนิสัยการออมก่อนใช้’ เป็นสูตรง่าย ๆ ที่ทำให้คนธรรมดากลายเป็นเศรษฐีได้จริง หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ทุกครั้งที่มี “รายรับ” หรือ “รายได้” เข้ามา ให้เราหักเงินจำนวนหนึ่งออกมาเพื่อเป็น “เงินออม” ทันที โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่าต้องเป็นเงินที่ไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายอื่น และเมื่อเป็นเงินออมแล้วจะต้องไม่เอามาใช้จ่ายเด็ดขาด ซึ่งต้องทำให้เป็นวินัยในแต่ละเดือนอย่างสม่ำเสมอเงินส่วนที่เหลือค่อยนำไปใช้จ่าย นี่จะเป็นการรับประกันตัวเองได้ว่า...คุณจะมี “เงินเก็บออม” ทุกเดือนแน่นอน
หลังจากที่เราได้หักเงินบางส่วนมาเป็นเงินออม เทคนิคที่สอง ที่มีความสำคัญและเป็นอีกหนึ่งวิธีที่หลายคนอาจจะมองข้ามหรือละเลยไป คือ “การจดรายรับ-รายจ่าย” ซึ่งแนะนำให้ทำให้เป็นนิสัย เพื่อเช็กว่ามีรายจ่ายใดที่สามารถตัดหรือลดลงได้บ้าง ซึ่งก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ให้เราสามารถบริหารจัดการเงินและการวางแผนการออมให้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี
“อย่าลืมว่า... ‘รายจ่ายที่ลดลงได้’ เท่ากับเป็น ‘รายได้ที่เพิ่มขึ้น’ ของเราได้เช่นกัน เพราะในแต่ละเดือน ทุก ๆ คนก็จะมีสารพัดค่าใช้จ่ายทั้งที่ ‘จำเป็น’ และ ‘ไม่จำเป็น’ ซึ่งการจดบันทึกนั้นจะทำให้เรา ‘มองเห็นภาพได้ชัดขึ้น’ ของรายจ่ายแต่ละรายการ แน่นอนว่า..รายจ่ายบางรายการที่จำเป็นก็อาจจะตัดทิ้งไม่ได้ เช่น ค่าผ่อนบ้านหรือคอนโด, ค่าผ่อนรถยนต์, ค่าน้ำค่าไฟ หรือค่าใช้จ่ายกินอยู่ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น แต่ยังมีบางรายการที่ไม่จำเป็น เช่น การซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยที่เกินความจำเป็น, การสังสรรค์นอกบ้าน เป็นต้น เมื่อเห็นภาพ..เราก็จะสามารถบริหารจัดการรายจ่ายของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ปล่อยให้ใช้จ่ายเกินตัวจนอาจทำให้การวางแผนการเงินล่มไม่เป็นท่าได้เช่นกัน”
ต่อจากการ สร้างวินัยการออมและการจดรายรับ-รายจ่ายแล้วเทคนิคต่อมา คือ เทคนิคที่สาม ‘การจัดสรรเงินออกเป็น 4 ส่วนให้เป็นนิสัย’ ถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่เราควรรู้จัก คือการแบ่งรายได้ออกเป็น 4 ส่วนเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างครบถ้วน
โดยส่วนแรกเป็น ‘เงินออม’ ซึ่งแนะนำให้เก็บไว้ประมาณ 1 ใน 4 ของเงินเดือน ส่วนที่ 2 เป็น ‘เงินใช้’ คือเงินที่เอาไว้ใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนเป็นเงินที่ไว้ให้รางวัลกับชีวิตของตัวเอง ส่วนที่ 3 เป็น ‘เงินให้’ เพื่อตอบแทนพ่อแม่ หรือแบ่งเงินทำบุญ เป็นส่วนที่เราให้คืนกับผู้มีพระคุณและสังคมนั่นเอง และส่วนสุดท้ายคือ ‘เงินสำรอง’ เป็นเงินที่กันเอาไว้เผื่อหยิบใช้ยามจำเป็น เพราะย่อมดีกว่าวิธีกู้หนี้ยืมสินเป็นแน่แท้
เทคนิคสุดท้ายคือ ‘การให้เงินช่วยทำงาน’ หรือการแบ่งเงินออมบางส่วนออกมาแล้วนำไปลงทุนเพิ่ม เพื่อให้เงินมีการงอกเงยขึ้นซึ่งแม้ว่าการเก็บออมเงินเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่การเก็บเงินไว้ในธนาคารที่ได้รับผลตอบแทนย้อนหลังในช่วง 10 ปี ที่มีดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.65% ต่อปี (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย) นั้น ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์การสร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้ เพราะด้วยผลตอบแทนระดับนี้กว่าเงินออมเราจะโตเป็น 2 เท่า จะต้องใช้เวลาประมาณ 44 ปี (ที่มา: กฎของเลข 72) ซึ่งนั่นอาจทำให้เงินออมของเราโตไม่ทันใช้
“การแบ่งเงินออมบางส่วนไปลงทุนเพิ่ม จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับเงินออมของคุณได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น หากเรามีเงินออมอยู่แล้ว และเราแบ่งเงินออมบางส่วนไปลงทุนใน ‘กองทุนรวมหุ้นไทย’ ที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 5.14% ต่อปี (ที่มา: บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด) เงินออมในส่วนนี้ของเราจะโตเป็น 2 เท่า ได้ในระยะเวลาที่สั้นลงเหลือเพียง 14 ปี เท่านั้น เร็วกว่าเดิมถึง 3 เท่าเลยทีเดียว ดังนั้นการให้เงินออมได้ทำงานก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยตอบโจทย์การสร้างความมั่งคั่งของเราได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ที่สำคัญการลงทุนในปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่ง่าย ด้วยเทคโนโลยีก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด โดยสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว หรือที่เรียกว่า ลงทุนได้แค่ ‘ปลายนิ้วสัมผัส’ เท่านั้นเอง”
ทั้ง “4 เทคนิค” เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคนต้องการจะออมเงินหรือต้องการวางแผนที่จะมีเงินก้อนในชีวิต ซึ่งใครที่นำไปใช้ก็อาจจะมีการปรับความ ‘เข้มงวด’ หรือ ‘ลดหย่อน’ เงื่อนไขขั้นตอนบางอย่างได้ เพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียดจนเกินไปจนอาจนำไปสู่การล้มเลิกไปในที่สุด แต่ด้วย “เคล็ด (ไม่) ลับ” ทั้ง ‘4 เทคนิค’ นี้ ใคร ๆ ก็สามารถทำเงินออมให้งอกเงยได้ง่าย ๆ เริ่มได้เลย...แม้ว่าวันนี้ เราอาจจะยังมีเงินออมที่ยังไม่มาก แต่เราก็สามารถเริ่มลงทุนได้...เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง !!!
>>สนใจเปิดบัญชีกองทุนรวม: คลิกเลย!!
คำเตือน: ผลตอบแทนในอดีต มิได้รับประกันถึงผลตอบแทนในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน