ช่วงต้นปี 2566 นักลงทุนทั่วโลกยังคงมีความกังวลว่าเศรษฐกิจยังมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) โดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับขนาดของตลาดเงินและตลาดทุนของสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่ ย่อมส่งผลกระทบต่อความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก
มีคำถามตามมาว่า เศรษฐกิจถดถอยมีความสำคัญอย่างไรและทำไมนักลงทุนต้องสนใจ คำตอบคือ การเคลื่อนไหวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือเรียกว่า วัฏจักรเศรษฐกิจ (Economic Cycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา ประกอบด้วย 4 ช่วง ได้แก่ ระยะถดถอย (Full Recession) เริ่มฟื้นตัว (Early Recovery) ฟื้นตัวแล้ว (Full Recovery) และระยะเริ่มถดถอย (Early Recession) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศ
เศรษฐกิจในแต่ละช่วงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทน (กำไร - ขาดทุน) ที่นักลงทุนทำได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว จนถึงช่วงปลายของการขยายตัวโดยอยู่ในช่วงตั้งแต่ 5 - 23% แต่จะให้ผลขาดทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7% ในช่วงของเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้น แต่จะมีความผันผวนน้อยกว่าและโอกาสขาดทุนค่อนข้างจำกัด ดังนั้น การเข้าใจวัฏจักรเศรษฐกิจและโอกาสที่จะเกิดขึ้นจะช่วยให้นักลงทุนสามารถจับจังหวะเข้าและออกจากการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือ หุ้นมักจะปรับตัวลดลงเรื่อย ๆ ก่อนที่เศรษฐกิจจะหดตัวเสมอ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ล่วงหน้าและปรับพอร์ตลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง (เช่น ขายหุ้น) แต่จากข้อมูลในอดีตพบว่าจุดต่ำสุดของดัชนีหุ้นจะเกิดขึ้นหลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มหดตัวจริง ๆ เท่านั้น ดังนั้น นักลงทุนควรทยอยลงทุนหุ้น (อย่าเพิ่งรีบเข้าซื้อเต็มจำนวน)
คำถามต่อไป คือ ควรรอลงทุนหุ้นเมื่อไหร่ โดยจากข้อมูลพบว่าโดยเฉลี่ย (ไม่นับรวมเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 1929 หรือ The Great Depression และวิกฤติซับไพรม์ในช่วงปี 2551) ช่วงเวลาเศรษฐกิจถดถอยจะอยู่ที่ประมาณ 10 เดือน โดยจุดต่ำสุดของหุ้นในแต่ละรอบจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเริ่มหดตัวไปแล้วประมาณ 5 เดือน และหลังจากนั้นจะใช้เวลาอีกประมาณ 5 เดือนในการทยอยฟื้นตัวและหลุดออกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย หมายความว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าลงทุนหุ้น คือ ช่วงกลาง ๆ ของภาวะถดถอย
ผลตอบแทนที่ได้ คือ เท่าไหร่
จากข้อมูลพบว่า การเข้าลงทุนที่เร็วเกินไปจะให้ผลขาดทุนในช่วง 3 เดือน และ 6 เดือนหลังเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย โดยมีโอกาสขาดทุนสูงถึง 15 - 18% เนื่องจากในช่วงแรกหลังเศรษฐกิจถดถอยใหม่ ๆ แนวทางการวิเคราะห์สถานการณ์และกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มปรับลดลง รวมถึงผลกระทบต่าง ๆ ก็ยังไม่สะท้อนเข้าไปในงบการเงินอย่างชัดเจน
ดังนั้น ช่วงเวลาที่ให้ผลตอบแทนที่ดี คือ เมื่อเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจประมาณ 3 - 6 เดือนก่อนที่เศรษฐกิจจะพ้นภาวะถดถอย โดยอาจให้ผลตอบแทนสูงถึง 8 - 20% หมายความว่า นักลงทุนควรติดตามข้อมูลและประเมินว่าเศรษฐกิจถดถอยจะจบลงเมื่อไหร่
เลือกลงทุนหุ้นกลุ่มไหน
อาจจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่บ้าง เพราะถึงแม้หลังจากเศรษฐกิจถดถอยผ่านไปแล้วและหุ้นส่วนใหญ่จะฟื้นตัวได้ดี เช่น ดัชนี S&P 500 หากนักลงทุนได้เข้าซื้อในช่วง P/E Ratio 15 - 25 เท่า (ปัจจุบันดัชนี S&P 500 ประมาณ 4,000 จุด P/E Ratio อยู่ประมาณ 17 - 20 เท่า) หากถือลงทุนไป 1, 3 และ 5 ปี มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงถึง 11%, 37% และ 65% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม หุ้นแต่ละกลุ่มก็จะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันไป แต่กลุ่มที่ดีที่สุด คือ กลุ่มหุ้นมูลค่า (Value Stock) เช่น การเงินธนาคาร พลังงาน อุตสาหกรรม และสินค้าจำเป็น โดยปรับตัวขึ้นดีกว่ากลุ่มเติบโต (Growth Stock) เช่น เทคโนโลยี หรือสินค้าฟุ่มเฟือย
จากข้อมูลดังกล่าว สังเกตได้ว่าหุ้นไทยก็มีความได้เปรียบอยู่พอสมควร หากมองในลักษณะองค์ประกอบของดัชนีหุ้น เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีองค์ประกอบเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นกลุ่มหุ้นคุณค่าค่อนข้างมาก เช่น ธนาคารพาณิชย์และน้ำมัน ซึ่งหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยก็มีแนวโน้มว่าจะได้รับประโยชน์หลังจากเศรษฐกิจเริ่มกลับมาอยู่ในช่วงฟื้นตัวอีกครั้ง
ส่วนนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะประเมินในเชิงระดับราคาที่ปรับลดลงมาอย่างน่าสนใจหรือการกระจายความเสี่ยง นอกจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนต่างประเทศ ตลาดหุ้นไทยก็มีตัวเลือกที่น่าสนใจเพิ่มเติมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่น ETF, DW, DR และ DRx ที่สามารถลงทุนต่างประเทศผ่านตลาดหุ้นไทยได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และใช้เพื่อสำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจแบบง่าย ๆ เพื่อจับทิศทางการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และค้นหาหุ้นเด็ดในแต่ละช่วงเวลา สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือสนใจ เรียนรู้เทคนิคการคัดกรองหุ้นด้วยการใช้งานเครื่องมือ Settrade Stock Screening เพื่อให้ได้หุ้นดี โดนใจ โดยไม่ต้องใช้เวลาค้นหานาน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Stock Screening” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่