ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล

โดย นารินทิพย์ ท่องสายชล ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
13 มกราคม 2566
4.473k views
Inv_ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล_Thumbnail
Highlights
  • หลายคนอาจเข้าใจว่า สินทรัพย์ดิจิทัล คือ คริปโทเคอร์เรนซี เช่น Bitcoin, Ether, Tether, USD Coin เป็นต้น แต่ที่จริงแล้ว สินทรัพย์ดิจิทัลยังครอบคลุมไปถึงโทเคนดิจิทัลอีกด้วย

  • โทเคนดิจิทัลมีความแตกต่างจากคริปโทเคอร์เรนซี คือ มีการกำหนดสิทธิในเหรียญ เช่น สิทธิเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการ สิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการ หรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง เป็นต้น ขณะที่คริปโทเคอร์เรนซี ไม่มีการกำหนดสิทธิในเหรียญ แต่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการเท่านั้น

ในปี 2017 กระแสการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) อย่าง Bitcoin มาแรงอย่างมาก จนทำให้ Bitcoin มีราคาเพิ่มสูงขึ้นถึง 20 เท่าภายในปีเดียว จากเหรียญละ 30,000 บาท พุ่งขึ้นไปถึง 600,000 กว่าบาท ทำให้นักลงทุนทั่วโลกตื่นตัวกันสุด ๆ กับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)

 

จากนั้นตามมาด้วยกระแสการระดมทุนของธุรกิจสตาร์ทอัพ ด้วยการทำ ICO (Initial Coin Offering) หรือที่เรียกว่าการออกเหรียญ ซึ่งเป็นการระดมทุนแบบดิจิทัลด้วยการเสนอขายโทเคนดิจิทัล (Digital Token) ผ่านระบบบล็อกเชนต่อสาธารณชน โดยผู้ระดมทุนจะเป็นผู้ออกโทเคนดิจิทัลมาแลกกับเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) สกุลหลัก เช่น Bitcoin หรือ Ether ถือเป็นช่องทางการเข้าถึงเงินทุนที่สะดวก รวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก ทำให้ได้รับความนิยมจากกลุ่มสตาร์ทอัพกันอย่างมาก

 

ในขณะที่นักลงทุนจำนวนมากคิดว่าการลงทุนในเหรียญเหล่านั้น เป็นช่องทางที่จะได้รับผลตอบแทนมหาศาล แต่ด้วยความที่เทคโนโลยีค่อนข้างใหม่ในสมัยนั้น ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มขาดความเข้าใจที่ดีพอ จนกลายเป็นโอกาสให้เกิดการหลอกลวงจากผู้มีเจตนาไม่สุจริตในหลายกรณี รวมถึงกลายเป็นช่องทางฟอกเงินของธุรกิจผิดกฎหมายด้วย เป็นเหตุที่ทำให้ในประเทศไทยเกิดการบังคับใช้ พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 และการเข้ามาควบคุมการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลของสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ ขจัดความสับสนเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล และนักลงทุนก็จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายและเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นยังคงต้องมีการพัฒนาอีกมากเพื่อให้ก้าวทันกับทิศทางการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป

Inv_ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล_01

โดยนิยามตามกฎหมายไทย สินทรัพย์ดิจิทัลมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่

  1. คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใด หรือแลกเปลี่ยนระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัล โดยสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้หากผู้ใช้ยอมรับ ปัจจุบันคริปโทเคอร์เรนซียังไม่ใช่เงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรับรองว่าสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย โดยคริปโทเคอร์เรนซีที่รู้จักกันแพร่หลาย เช่น Bitcoin และ Ether เป็นต้น

  2. โทเคนดิจิทัล (Digital Token) แบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย ดังนี้
2.1 โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการใด ๆ เช่น สิทธิในส่วนแบ่งรายได้ ผลกำไรจากการลงทุน เป็นต้น โดยโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่เป็นที่รู้จัก เช่น Destiny Token หรือ เหรียญบุพเพสันนิวาส ๒ และ SiriHub Token เป็นต้น

 

2.2 โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิในการได้รับสินค้าหรือบริการที่เฉพาะเจาะจง เช่น ให้สิทธิในการเข้าถึงแพลตฟอร์มหรือโครงการ รวมถึงนำไปใช้แลกสินค้าหรือบริการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดย Utility Token สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
    • Utility Token พร้อมใช้ : หากสินค้าหรือบริการนั้นพร้อมที่จะให้ใช้ประโยชน์ตั้งแต่วันที่เสนอขายโทเคนดิจิทัลครั้งแรก ผู้ถือครอง Utility Token พร้อมใช้ จะสามารถนำไปใช้ได้ทันที
    • Utility Token ไม่พร้อมใช้ : หากสินค้าหรือบริการนั้นยังไม่พร้อมที่จะให้ใช้ประโยชน์ทันทีในวันที่เสนอขายโทเคนดิจิทัลครั้งแรก โดยผู้เสนอขายโทเคนต้องนำเงินที่ได้จากการขาย Utility Token ไปพัฒนาแพลตฟอร์มหรือโครงการให้แล้วเสร็จ เพื่อที่จะให้สิทธิประโยชน์ในการใช้สินค้าหรือบริการแก่ผู้ถือครอง Utility Token ไม่พร้อมใช้
Inv_ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล_02

โดยการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทโทเคนดิจิทัล (Digital Token) นักลงทุนจะได้สิทธิตามที่ผู้ออกกำหนด เช่น สิทธิในส่วนแบ่งรายได้ สิทธิในการใช้ระบบ สิทธิในการซื้อของลดราคา เป็นต้น แต่ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ จึงไม่ได้สิทธิความเป็นเจ้าของบริษัทเหมือนการลงทุนในหุ้น ซึ่งจะได้สิทธิความเป็นเจ้าของและจะได้รับเงินค่าหุ้นและส่วนแบ่งในทรัพย์สินของบริษัทหลังจากที่บริษัทเลิกกิจการด้วย

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนและมีความเสี่ยงสูงมาก แม้จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็อาจหมดตัวได้ โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการโฆษณากล่าวอ้างว่า ให้ผลตอบแทนสูง รับประกันผลตอบแทน ยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะเป็นการให้ข้อเสนอที่ดีเกินจริง อาจเป็นเหยื่อถูกหลอกได้ โดยก่อนจะเชื่อให้เช็คข้อมูล ICO ที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. (www.sec.or.th) ก่อนลงทุนทุกครั้ง นอกจากนี้ สามารถเช็ครายชื่อบุคคลที่มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. (Investor Alert) ได้ที่เว็บไซต์ www.sec.or.th/TH/Pages/Shortcut/DigitalAsset.aspx

 

ที่มาของข้อมูล

  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้ลักษณะพื้นฐานและวิธีการเลือกลงทุนใน Digital Asset เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากเทรนด์การลงทุนนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “มือใหม่หัดลงทุน Digital Asset” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: