เป็นเวลากว่า 3 ปี ที่โลกนี้รู้จักกับ COVID-19 ที่ส่งผลทำให้เกิดความผันผวนสุดโต่งในตลาดหุ้นทั่วโลก ภาพการลงทุนเสมือนแบ่งออกเป็น 2 ครึ่ง คือในช่วงปี 2563 – 2564 และอีกช่วงคือ ปี 2565
ทั้ง ๆ ที่ในช่วงปี 2563 – 2564 เราจะเคยได้ยินเสียงบ่นด้วยความหนักอกหนักใจ ว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายเรื่อง โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยที่โตช้า GDP เติบโตต่ำต่อเนื่อง ไร้นวัตกรรมใหม่ พร้อมกับโครงสร้างประชากรที่แก่ตัวลง (Aging Society) นักลงทุนรายย่อยไทยจำนวนไม่น้อยถึงกับขายหุ้นไทยย้ายเงินไปตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นเทคโนโลยี ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นเวียดนาม ในช่วงปลายปี 2564 นี่เอง
ตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมา ภาพการลงทุนในหุ้นไทยกลับมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาโดยตลอด จากการระดมฉีดวัคซีนโควิดให้คนไทยครอบคลุมทุกกลุ่ม จำนวนผู้ติดเชื้อและการเพิ่มขึ้นรายวันเริ่มชะลอตัวลง อาการความรุนแรงจากการติดโควิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ประเทศไทยสามารถเปิดเมืองและเปิดประเทศได้ตั้งแต่กลางปี 2565 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวเร็วกระทั่งเกิน 10 ล้านราย ณ สิ้นปี 2565 ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ ในหลายภาคส่วนก็กำลังตามมา
แม้ในภาพใหญ่ เรายังอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ขาลง จากการกดเงินเฟ้อ อันนำไปสู่ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการลงทุน และตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูง ตลาดหุ้นหลายแห่งที่เคยทำ All Time High ไปในปี 2564 ก็ต้องปรับตัวลดลงในปี 2565 และอาจจะต้องผันผวนต่อไป ในขณะที่การลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งอยู่คนละรอบวัฏจักรเศรษฐกิจกับประเทศเหล่านี้ กล่าวคือ ตอนที่พวกเขาเป็นขาขึ้น (ปี 2563 – 2564) หุ้นไทยไม่ค่อยขึ้น แต่ในยามที่พวกเขาเป็นขาลงแรง (ปี 2565) หุ้นไทยก็แทบไม่ลง ทั้งยังมีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2566 จากหลายเหตุผลดังนี้
ประเทศไทยอยู่ในรอบวัฏจักรเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวอย่างมาก แม้ว่าภาคท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้นทั่วโลก แต่สำหรับประเทศไทยแล้วสัดส่วนต่อ GDP ของภาคท่องเที่ยวสูงกว่าประเทศอื่นมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ภาคท่องเที่ยวมี Ecosystems ที่ใหญ่ สามารถส่งต่อกำลังซื้อและการเติบโตไปสู่ภาคส่วนอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ภาคบริการ ภาคขนส่ง และภาคการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อน GDP ไทย และยังมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้อีกหลายปี คาดการณ์กันว่าเมื่อประเทศจีน ซึ่งเป็นลูกค้าการท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของไทยตัดสินใจเปิดประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยจะวิ่งเข้าสู่ระดับก่อนเกิดโควิดที่ 40 ล้านคนต่อปีได้ภายในระยะเวลา 2 – 3 ปี
เราอาจเคยได้ยินว่า ข้อเสียของตลาดหุ้นไทยคือ ส่วนใหญ่เป็นหุ้น Old Economy เป็นหุ้นในโลกดั้งเดิม ที่ไม่ใช่หุ้นเทคโนโลยีที่คาดหวังการเติบโตระดับ 10X ในทศวรรษหน้า แต่ในช่วงการฟื้นตัวนี้ หุ้น Old Economy ที่มีความน่าสนใจใน Valuation อย่างหุ้นไทยนี่แหละที่น่าสนใจและปลอดภัยในยุคผันผวน โดยเฉพาะหุ้นหลาย ๆ ตัวใน SET50 และ SET100 ที่มีความเป็นหุ้นขนาดใหญ่ Big Cap อยู่ในธุรกิจที่จำเป็น ไม่ได้ถูกดิสรัปได้ง่าย ๆ ทั้งยังมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันระยะยาว ที่มาจากการผูกขาดและกินขาด มีความประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) อยู่ในตลาดที่คู่แข่งน้อยราย ซึ่งในภาวะปกติธุรกิจจะมีความแน่นอนของผลประกอบการสูง และมีส่วนแบ่งการตลาดและการบริหารต้นทุนดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองด้วยเกณฑ์เหล่านี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าลงทุนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเป็นโอกาสของการลงทุนในปี 2566 ที่กำลังฟื้นตัว
ส่องโอกาสของหุ้นไทย ปี 2566
โอกาสของหุ้นไทยในปี 2566 มีความน่าสนใจในกลุ่มที่มีโอกาสฟื้นตัวสูงที่สุด โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก และกอง REIT เป็นต้น
หุ้นท่องเที่ยว
ภาคท่องเที่ยวมีสัญญาณขยายตัวจาก 2 ส่วน ทั้งนักท่องเที่ยวไทยที่เติบโตจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และอีกส่วนหนึ่งคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัวรับการเปิดประเทศของไทย โดยในปี 2566 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ กรณีฐาน 18 ล้านคน และถ้ารัฐบาลจีนเปิดให้ชาวจีนเดินทางระหว่างประเทศได้ จะไปสู่เป้าหมายกรณีดีที่สุดที่ 25 ล้านคน โดยสัญญาณจากจีนขณะนี้เป็นไปในทิศทางที่ดี เชื่อว่าจะเริ่มเปิดประเทศในเดือนมกราคม 2566 โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ เช่น
หุ้นค้าปลีก
จุดต่ำสุดของอุตสาหกรรมค้าปลีกในช่วงวิกฤติโควิด-19 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ผลประกอบการของหลาย ๆ บริษัทในกลุ่มค้าปลีก ฟื้นตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 จากการเติบโตของยอดขายในสาขาเดิม (SSSG) เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่งผลให้การใช้จ่ายในประเทศคึกคักขึ้น กำลังซื้อค่อย ๆ ฟื้นตัว ประชาชนเริ่มกลับมาใช้จ่าย สะท้อนจากตัวเลขผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก ที่ปรับตัวดีขึ้นตามกิจกรรมการเปิดเมืองและการใช้จ่ายที่ค่อย ๆ กลับสู่ภาวะปกติ และมีแนวโน้มดีขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยว การทำโปรโมชันของร้านค้า มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ออกมาเพิ่มขึ้น และแนวโน้มที่จะเกิดการเลือกตั้งทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2566 กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ เช่น หุ้นค้าปลีกสะดวกซื้อ หุ้นค้าปลีกไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ หุ้นค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านและวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
กลุ่ม REIT
กองรีท (REIT) ในประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากโควิดค่อนข้างมาก การปิดเมืองทำให้ลูกค้าหายไป รายรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ความสามารถในการผลิตกระแสเงินสดและเงินปันผลต่อหน่วยของแต่ละกองลดลงไป ซ้ำร้ายด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของแบงก์ชาติ ซึ่งมีผลต่อการประเมินมูลค่าของกองรีท ที่ประเมินจากมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับเป็นอย่างมาก สะท้อนมาที่ราคาของกองรีทที่ปรับลดลงแรง และยังไม่ฟื้นกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งอีกมุมมองหนึ่งคือโอกาสการลงทุน
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองรีท หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีให้เลือกลงทุนได้มากถึง 59 ตัว หากเลือกจากมูลค่ากิจการ (Market Cap.) ที่ใหญ่ที่สุด 5 ลำดับแรก เพื่อเป็นตัวอย่าง ได้แก่
ลำดับ 1 และ 4 เป็นกองรีทกลุ่มห้างสรรพสินค้า ลำดับ 2 และ 3 เป็นกองรีทกลุ่มอุตสาหกรรมและคลังสินค้า ส่วนลำดับ 5 เป็นกองรีทกลุ่มศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงสินค้า หากเราติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของราคากองรีทใหญ่ที่สุด 5 ลำดับแรก จะพบว่ามีความตามหลัง (Laggard) SET อยู่มาก หากหลังโควิดทุกอย่างทยอยฟื้นกลับไปใกล้เคียงกับผลประกอบการก่อนโควิด แสดงว่านี่คือกลุ่มที่ยังมีโอกาสกลับมาฟื้นตัว อีกทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่เร็วและแรงแบบปี 2565 น่าจะผ่านช่วงเร่งตัวที่สุดไปแล้ว และน่าจะปรับขึ้นอีกไม่กี่ครั้งในอัตราที่ไม่สูงมาก ภาพของกองรีทในปี 2566 จึงมีโอกาสฟื้นตัว ทั้งในเชิงธุรกิจและเชิงอัตราดอกเบี้ยที่ชะลอความรุนแรงของการปรับขึ้น
นักลงทุนที่เลือกลงทุนในกองรีทมักจะรับความเสี่ยงได้ต่ำ และต้องการผลตอบแทนในรูปแบบ “เงินปันผล” ที่สม่ำเสมอ ด้วยเป้าหมายนี้ นักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับเงินปันผล อาจจะย้ายเงินลงทุนจากหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรตกต่ำหรือหุ้นที่ Outperform Market ไปมากแล้ว กระจายมาสู่กองรีทที่ราคามีความ Laggard เพื่อช่วยสร้างกระแสเงินสด และลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนโดยรวมได้
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใช้เพื่อสำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ ค้นหาหุ้นดี น่าลงทุนด้วย Stock Screening เพื่อให้ได้หุ้นดี โดนใจ โดยไม่ต้องใช้เวลาค้นหานาน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Stock Screening” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือเรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมเจาะลึกเทคนิคในการจับจังหวะเปลี่ยนกลุ่มลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่