หุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีให้เลือกลงทุนมากมาย และมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค ทำให้นักลงทุนเลือกไม่ถูก และเกิดคำถามว่า “หุ้นแบบไหนที่เหมาะกับเรา?” อีกทั้งมีการแบ่งกลุ่มต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอุตสาหกรรม ดัชนี ปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยทางเทคนิค ฯลฯ
สำหรับใครที่กำลังหาไอเดียในการคัดหุ้นที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของเรา ในบทความนี้จะพามารู้จักกับหุ้นคุณค่า และหุ้นเติบโต มีลักษณะเป็นอย่างไร? เหมาะกับใคร? และไม่ยากเลยที่จะศึกษา
หุ้น 2 ประเภทที่นักลงทุนนิยมลงทุน
จากที่เกริ่นข้างต้น ประเภทของหุ้นที่นักลงทุนนิยมลงทุนกันในตลาด หลัก ๆ มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
1. หุ้นคุณค่า (Value Stock)
หุ้นที่มีราคาหรือมูลค่าต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมตามทฤษฎี (ของดี ราคาถูก) หรือเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว ลักษณะเด่นของหุ้นประเภทนี้ คือ เป็นหุ้นที่เน้นอัตราปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่มักจะมีผลการดำเนินงานเติบโตไม่โดดเด่น ทำให้คนตีราคาของหุ้นตัวนี้ต่ำมากจนไม่สนใจซื้อขายกัน จึงทำให้ราคานั้นต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม และเมื่อเวลาผ่านไป นักลงทุนในตลาดมองเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในตัวหุ้น ก็จะเข้าซื้อหุ้น ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
2. หุ้นเติบโต (Growth Stock)
เป็นหุ้นที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นและรวดเร็วกว่าหุ้นตัวอื่น ๆ โดยครอบคลุมตั้งแต่การเติบโตของสินทรัพย์ รายได้ และกำไรของบริษัท ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หรือขยายสาขาที่สามารถสร้างรายได้มหาศาล เป็นต้น จึงทำให้นักลงทุนที่ต้องการเน้นกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) มักจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ถึงแม้จะมีอัตราปันผลต่ำกว่าและซื้อในราคาที่แพงกว่ามูลค่าที่แท้จริงตามทฤษฎีก็ตาม
สรุปวิธีสังเกตหุ้นคุณค่า หุ้นเติบโต และหุ้นแบบไหนเหมาะกับใคร?
จากที่เกริ่นมาข้างต้น หุ้นแต่ละประเภทมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จึงสรุปเป็นวิธีสังเกตหุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโต ว่าแตกต่างกันอย่างไรในแต่ละมุม ดังนี้
สำหรับมูลค่าของหุ้นคุณค่า เมื่อเทียบกับตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรม มักจะมีมูลค่าที่ต่ำกว่า ในทางตรงกันข้าม หุ้นเติบโต จะมีมูลค่าที่สูงกว่า โดยอัตราส่วนที่นักลงทุนนิยมใช้ 2 อัตราส่วนในการเปรียบเทียบเบื้องต้น คือ
- P/E Ratio เป็นอัตราส่วนที่เปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นและกำไรต่อหุ้น โดยหุ้นคุณค่า (Value Stock) มักจะมีอัตราส่วนดังกล่าวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน ส่วนหุ้นเติบโต (Growth Stock) จะมีอัตราส่วนดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหรือของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เนื่องจากมียอดขายและความสามารถในการทำกำไรที่ดี ทำให้นักลงทุนมีความคาดหวังต่อบริษัทค่อนข้างสูง จึงยินดีที่จะซื้อหุ้นในราคาแพง
- P/BV Ratio เป็นอีกอัตราส่วนที่ใช้บอกว่าซื้อถูกกว่าหรือแพงกว่า เมื่อเทียบกับเจ้าของ ซึ่งมีความผันผวนที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับ P/E Ratio โดยหุ้นคุณค่า มักจะมีอัตราส่วนดังกล่าวที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบในอุตสาหกรรมเดียวกัน และหุ้นเติบโตมักจะมีอัตราส่วนดังกล่าวที่สูงกว่า โดยอัตราส่วนดังกล่าว มักจะใช้คู่กันกับ ROE เพื่อดูผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ
ซึ่งข้อมูลอัตราส่วนทางการเงิน ทั้ง P/E Ratio และ P/BV Ratio ของแต่ละบริษัท สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คลิก
2. ผลการดำเนินงาน
สำหรับหุ้นคุณค่ามักจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง จากกระแสเงินสดที่สูง แม้ว่าจะเติบโตน้อยกว่า เมื่อเทียบกับตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ก็ยังเติบโตอย่างมั่นคง สม่ำเสมอ แต่ในทางกลับกัน หุ้นเติบโตจะมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างรวดเร็วมากกว่า จากการขยายกิจการหรือลงทุนในโครงการใหม่ ๆ แต่ความแข็งแกร่งจะน้อยกว่า เมื่อเทียบแบบเดียวกัน
3. เงินปันผล
แม้ว่าหุ้นคุณค่ามักจะมีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างคงที่ แต่สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนระยะยาวชื่นชอบลงทุนในหุ้นประเภทนี้ คือ เงินปันผล ที่มีอัตราที่สูงกว่าเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยของตลาดหรือกลุ่มอุตสาหกรรม ส่วนหุ้นเติบโตจะมีอัตราปันผลที่ต่ำกว่า เนื่องจากกิจการจะนำกำไรไปลงทุนต่อ โดยคาดหวังว่าจะได้กำไรมากขึ้น
4. ความผันผวน
จากผลการดำเนินงานของหุ้นทั้ง 2 กลุ่ม จะสะท้อนมูลค่าผ่านราคา โดยราคาของหุ้นคุณค่ามักจะมีความผันผวนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นเติบโต เนื่องจากหุ้นคุณค่านั้นมักเป็นกิจการขนาดใหญ่ใหญ่และก่อตั้งมานาน ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่ากิจการสามารถรับมือกับวิกฤตหรือวัฏจักรเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในอดีตได้เป็นอย่างดี แต่หุ้นเติบโตมักจะเป็นหุ้นที่นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของผลประกอบการที่สูง แต่ถ้าผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด ก็มีโอกาสที่นักลงทุนจะขายทำกำไร นั่นจึงจะทำให้ราคาหุ้นมีความผันผวนสูงกว่า
5. หุ้นแต่ละประเภทเหมาะกับใคร
จากคุณสมบัติของหุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโตที่อธิบายมาข้างต้น หุ้นคุณค่าจะเหมาะกับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนในระยะยาว และต้องการเงินปันผลระหว่างลงทุน (Dividend) และในทางตรงกันข้าม หุ้นเติบโตจะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้นและเน้นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain)
คุณสมบัติของหุ้นทั้ง 2 ประเภท เป็นเพียงมุมมองในการจัดประเภทของหุ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนจะต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการลงทุน ปัจจัยทางเทคนิค การวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัท อุตสาหกรรม หรือภาพรวมของเศรษฐกิจในการตัดสินใจร่วม เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้เป็นไปตามแผนมากขึ้น
สุดท้ายนี้หากนักลงทุนสนใจเริ่มต้นลงทุนในหุ้นกลุ่มต่าง ๆ และต้องการข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์เชิงลึก ตลาดหลักทรัพย์ฯ นักลงทุนสามารถสมัครใช้บริการ SETSMART ได้เพียงในราคา 250 บาทต่อเดือน คลิกที่นี่
นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถค้นหาข้อมูลหุ้นที่น่าสนใจแบบครบทุกมิติจากบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ คลิกที่นี่
Disclaimer : ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนที่ปรากฏนี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลในอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นโดยการอิงกับไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Based) หรือกระแส (Trend) ซึ่งรวบรวมมาจากข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่รับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลดังกล่าวรวมทั้งไม่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนใด ๆ ในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน และตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายหรือสูญหายจากการนำข้อมูลที่ปรากฏนี้ไปใช้ในทุกกรณี