จัดพอร์ตระยะยาวคลุกเคล้าระยะสั้น คาดหวังผลตอบแทนยามเศรษฐกิจผันผวน

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
22 ตุลาคม 2564
2.9k views
Inv_จัดพอร์ตระยะยาวคลุกเคล้าระยะสั้น_Thumnail
Highlights

การจัดพอร์ตลงทุนแบบ Barbell Portfolio คล้ายกับการยกน้ำหนัก ที่มีการกระจายน้ำหนักเพื่อให้ยกได้ทั้งแบบหนักและแบบเบา นั่นคือ การกระจายการลงทุนออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเน้นการลงทุนระยะยาว และอีกส่วนหนึ่งลงทุนในระยะสั้น ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และได้ความคล่องตัวจากการลงทุนระยะสั้น พร้อมกับกำไรจากส่วนต่างของราคา แม้ในภาวะที่ตลาดผันผวน

ในโลกของการลงทุน นักลงทุนแต่ละคนจะมีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกัน หนึ่งในนั้นคือ นักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนระยะยาวกับนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนระยะสั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไหนก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน

 

สิ่งที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาในการลงทุน นั่นคือ นักลงทุนระยะยาวจะไม่สนใจความผันผวนของราคาสินทรัพย์ในระยะสั้นและมองว่าระยะยาวมีความผันผวนน้อยกว่า และเมื่อลงทุนแล้วจะถือยาวเพราะมองว่าสินทรัพย์นั้นจะเติบโตไปเรื่อย ๆ ขณะที่นักลงทุนระยะสั้นมักมองว่าระยะสั้นมีความผันผวนมากกว่า จึงเน้นการเล่นรอบเพื่อทำกำไรได้หลายครั้งแม้จะเป็นครั้งละไม่มาก

 

นักลงทุนระยะยาวจะคาดหวังผลตอบแทนเป็นเงินปันผล (Dividend) โดยรอให้เงินที่ลงทุนไปนั้นเติบโต และเมื่อวันเวลาผ่านไปราคาสินทรัพย์ที่ถืออยู่ก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเเน่นอนว่าก็จะได้กำไรจากส่วนต่างของราคา (Capital gain) ไปด้วย ส่วนนักลงทุนระยะสั้นเน้นเล่นรอบเพื่อหวังกำไรจากส่วนต่างของราคาเป็นหลัก

 

อย่างไรก็ตาม พบว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ COVID-19 ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือยาว ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ลงทุนยาก ถึงยากมาก” เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผลที่ตามมาหนีไม่พ้นราคาสินทรัพย์ที่ลงทุนผันผวนเหวี่ยงราวกับรถไฟเหาะตีลังกาแล้วหมุนสามรอบ คาดเดาทิศทางได้ยาก

 

จึงมีคำถามชวนให้คิดว่า ถ้าจับกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นกับระยะยาวมามัดรวมกันไว้ในพอร์ตลงทุนเดียวกัน อาจเป็นทางออกที่น่าสนใจ

 

บทวิจัยจาก BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระบุว่า ผู้จัดการกองทุนระดับโลก ได้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่สามารถใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ชื่อว่า Barbell Portfolio ซึ่งเป็นกลยุทธ์บริหารพอร์ตลงทุนให้มีความสมดุลกันระหว่างส่วนที่เป็นการลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนในระยะสั้น (ประมาณ 1 ปี) และส่วนที่คาดหวังการเติบโตในระยะยาว (3 – 5 ปี) โดยยกตัวอย่างพอร์ตลงทุน ดังนี้

  • 60 – 70% ของพอร์ตลงทุน เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตตามการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural Growth) อย่างมั่นคงในระยะยาว ซึ่งการเปลี่ยนอาจมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ การเปลี่ยนแปลงระดับโลกในกลุ่มทุนและแรงงาน การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติหรือโรคอุบัติใหม่ การเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อของตลาด การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนาขนาดใหญ่ เป็นต้น ดังนั้น นักลงทุนต้องมองหาธุรกิจที่จะเติบโตไปตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้  
  • 20 – 30% ของพอร์ตลงทุน เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีความเป็นวัฏจักรสูงหรือมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับมาได้ เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มอาหาร กลุ่มสุขภาพ กลุ่มเทคโนโลยี เป็นต้น
  • 5 – 15% ของพอร์ตลงทุน เน้นลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด รวมถึงมีโอกาสเข้ามา Disrupt ธุรกิจดั้งเดิม เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาด หรือกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ เป็นต้น

 

การจัดพอร์ตลงทุนแบบ Barbell Portfolio จะให้ผลดีตรงที่นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และได้ความคล่องตัวจากการลงทุนระยะสั้นพร้อมกับกำไรจากส่วนต่างของราคา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พอร์ตการลงทุนแบบนี้จะไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดเหมือนกลยุทธ์ที่เน้นอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ก็มีโอกาสเห็นศักยภาพของการเติบโตของพอร์ตลงทุนในระยะยาว อีกทั้งมีความผันผวนต่ำ

 

สำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่สนใจ เรียนรู้วิธีการสร้างและบริหารพอร์ตหุ้นอย่างมืออาชีพ พร้อมเจาะลึกเทคนิคจัดทำแผนการลงทุนทั้งระยะสั้นและระยาว เพื่อสร้างพอร์ตลงทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร Portfolio Strategy” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

แท็กที่เกี่ยวข้อง: