ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงพอสมควร โดยเฉพาะสมาชิกกองทุน (ลูกจ้าง) ที่กังวลว่า... วิกฤติอาจทำให้เงินกองทุนได้รับความเสียหาย หรือสมาชิกอาจขาดสภาพคล่อง ต้องการถอนเงินกองทุนออกไปใช้ก่อน จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุน ในทางกลับกันนายจ้างอาจประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้ไม่สามารถนำส่งเงินสมทบได้ต่อ จึงตัดสินใจยกเลิกกองทุน
ไม่ว่าในกรณีใด ก็ล้วนแต่ทำให้สมาชิกเสียประโยชน์ จึงมีคำถามว่า... มีทางออกสวยๆ ใดบ้าง ที่ทำให้สมาชิกไม่เสียสิทธิประโยชน์ ทั้งในแง่ของเงินลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่สำคัญยังมีเงินออมเพื่อไว้ใช้ยามเกษียณ
ถ้าพูดถึง “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างวินัยในการออมเงินเพื่อเกษียณ โดยนอกจากเงินที่ฝ่ายสมาชิก (ลูกจ้าง) สะสมแล้ว ยังมีเงินสมทบจากฝ่ายนายจ้างอีกส่วนหนึ่ง และเมื่อเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถูกนำไปบริหารจัดการลงทุนต่อโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ก็จะออกดอกออกผล ที่สำคัญยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกด้วย โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับ มีดังนี้
“กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถือเป็นช่องทางการออมเพื่อเกษียณที่ดีที่สุดในปัจจุบัน”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดวิกฤติอาจทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ เช่น ยอดขายตก ไม่มีเงินจ่ายพนักงาน หรือถึงขั้นต้องปิดกิจการ ฝ่ายลูกจ้างก็เช่นกัน อาจถูกลดเงินเดือน หรือถึงขั้นตกงาน ซึ่งทำให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้รับผลกระทบไปด้วย เช่น ลูกจ้างไม่มีเงินเหลือที่จะสะสมเข้ากองทุน ขณะที่ฝ่ายนายจ้างก็ไม่มีเงินเหลือที่จะสมทบเข้ามา ดังนั้น การมีทางออกที่ดีย่อมลดความเสียหาย และยังได้รับสิทธิประโยชน์ต่อไป
ปิดถาวร เสียหายหลายแสน
วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก กระทรวงการคลังจึงได้ออกมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าว โดยให้นายจ้างและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบสามารถขอเลื่อนหรือขอหยุดส่งเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ชั่วคราว ซึ่งนับเป็นทางออกที่เป็นประโยชน์อย่างมาก และเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ก็สามารถกลับมาส่งเงินสะสมและเงินสมทบต่อไปได้ดังเดิม
“กองทุนสำรองเลี้ยงชีพหยุดชั่วคราว สิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็ยังนับต่อเนื่อง เงินกองทุนก็ยังอยู่
และยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอายุการเป็นสมาชิกก็นับต่อเนื่องด้วยเช่นกัน”
ตรงกันข้าม หากไม่มีการประกาศมาตรการช่วยเหลือนี้ออกมา อาจทำให้ฝ่ายนายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ ไม่มีเงินส่งสมทบ ขณะเดียวกันลูกจ้างก็ไม่มีเงินสะสมเข้ามา จึงมีโอกาสที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะปิดอย่างถาวร
“ถ้าปิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และอยากกลับมาเปิดใหม่ก็ทำได้ แต่จะเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ที่สำคัญสิทธิประโยชน์ต่างๆ นั้น ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่”
สมมติว่าฝ่ายนายจ้างตัดสินใจปิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบถาวร แต่กิจการยังดำเนินอยู่ ลูกจ้างก็ยังทำงานต่อไป “ให้ลูกจ้างโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)” เพื่อคงสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะถ้านำเงินออกมา ก็ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีตอนสิ้นปี และที่สำคัญเป้าหมายการออมเงินเพื่อเกษียณต้องสะดุดลง
ตกงาน ควรทำอย่างไร
เมื่อไหร่ที่เกิดวิกฤติ มักตามมาด้วยข่าวการปลดพนักงาน และเมื่อพนักงานกลายเป็นผู้ว่างงาน หลายคนจะนึกถึงการนำเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกมาใช้จ่าย ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก ทางที่ดี... เราไม่ควรลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และไม่ควรนำเงินก้อนนี้ออกมาใช้จ่าย
เพราะวัตถุประสงค์หลักของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ เป็นแหล่งออมเงินเพื่อเกษียณ ถ้าเมื่อไหร่ที่เกิดวิกฤติแล้วถอนเงินออกจากกองทุนนี้ไปใช้ ย่อมทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของการวางแผนเกษียณ แปลว่า... เมื่อถึงวันที่เกษียณ ซึ่งเป็นวันที่ไม่มีรายได้ประจำจากการทำงานแล้ว อาจเป็นวิกฤติที่แท้จริงของชีวิต
ถ้าพูดกันตามหลักของการวางแผนการเงินที่ดี เราควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน 3 - 6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน แต่หากตกงานกะทันหัน เงินฉุกเฉินก็ไม่มีหรืออาจมีไม่พอ ให้รีบติดต่อประกันสังคมภายใน 30 วันนับแต่วันที่ว่างงาน เพื่อขอรับ “สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน” ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนระหว่างที่กำลังหางานใหม่ได้
3 ทางเลือก... จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบไม่เสียภาษี
หากต้องออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก่อนที่จะเกษียณ มี 3 ทางเลือกในการบริหารจัดการเงินกองทุนที่จะได้มา เพื่อให้เงินก้อนนี้ยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
แม้ว่าจะถูกเลิกจ้าง แต่ลูกจ้างสามารถคงเงินเอาไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกับนายจ้างเก่าต่อไปได้ โดยเงินที่คงไว้จะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนต่อไป เพียงแต่จะไม่ได้รับเงินสมทบจากนายจ้างเก่านับจากวันที่พ้นสภาพการเป็นพนักงาน และเสียค่าธรรมเนียมการคงเงินไว้ที่ 500 บาทต่อปี
อย่าลืม!!! ตรวจสอบข้อบังคับหรือเงื่อนไขของกองทุนด้วย เช่น บางบริษัทกำหนดให้คงเงิน PVD ได้ไม่เกิน 3 ปี เป็นต้น
เมื่อถูกเลิกจ้างและตัดสินใจคงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้กับนายจ้างเก่า แต่เมื่อได้งานใหม่และนายจ้างใหม่ก็มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็ควรโอนไปอยู่กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างใหม่
วิธีการนี้จะทำให้คงสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่อไป และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการคงเงิน ที่สำคัญ... ยังนับอายุการเป็นสมาชิกกองทุนต่อเนื่องได้ด้วย
หากนายจ้างเลิกกิจการหรือถูกเลิกจ้าง และตัดสินใจทำงานเป็นฟรีแลนซ์ ทางเลือกที่ดีที่สุด คือ โอนย้ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพราะนอกจากจะยังคงสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว ยังช่วยให้เงินยังคงลงทุนต่อไป และทำให้บรรลุเป้าหมายการวางแผนเพื่อเกษียณได้ด้วย
เกษียณปีนี้ ทำอย่างไร
สำหรับคนที่จะเกษียณในปีนี้ หากไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินหรือยังไม่มีแผนจะนำเงินไปลงทุนในช่องทางอื่นๆ ควรคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่อไป เพื่อให้เงินลงทุนและสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง และหากต้องการใช้เงิน ก็ควร “ขอรับเงินเป็นงวด” ออกไปใช้เท่าที่จำเป็น เพราะการรับเงินเป็นงวด ก็ยังคงสถานะสมาชิกกองทุนอยู่เช่นเดิม (สามารถขอคำแนะนำและรายละเอียดเพิ่มเติมจากคณะกรรมการกองทุน)
จะเห็นว่า... คนที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย ดังนั้น หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรลาออกและถอนเงินออกไปใช้ เพราะกองทุนนี้ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์เงินเดือน สามารถบรรลุเป้าหมายการวางแผนการเงินเพื่อเกษียณได้ง่ายขึ้น
สำหรับใครที่สนใจอยากเริ่มวางแผนเกษียณ หรืออยากรู้เคล็ดลับเพิ่มเงินออมในกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนเกษียณ สไตล์มนุษย์เงินเดือน” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่