หากเป็นสภาวะปกติในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี จะเห็นผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเริ่มซื้อกองทุนรวมเพื่อการเกษียณ (RMF) กันแล้ว แต่เนื่องจากปีนี้เชื้อไวรัส COVID-19 ยังคงระบาดและส่งผลให้คนไทยรวมถึงผู้ที่มีเงินเดือนประจำได้รับผลกระทบ จึงต้องเก็บเงินเอาไว้เพื่อใช้จ่าย ทำให้หลายคนต้องตัดสินใจว่าปีนี้อาจไม่สามารถแบ่งเงินมาซื้อกองทุนรวม RMF ได้
แต่ความจริงแล้ว “เงินลงทุน” กับ “เงินฉุกเฉิน” ควรแยกออกจากกัน ซึ่งทุกคนควรเตรียมเงินเก็บไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินเพราะเป็นเรื่องจำเป็น ขณะเดียวกันก็ควรกันเงินเอาไว้เพื่อลงทุนด้วย เช่น ในปี 2563 เกิดการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังสามารถแบ่งเงินมาซื้อกองทุนรวม RMF เดือนละ 2,000 บาทได้ (ปีละ 24,000 บาท) แต่ปีนี้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งถ้าคำนวณแล้วสามารถลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมได้และไม่มีปัญหาก็ควรลงทุนต่อไป แต่ถ้าดูแล้วการเงินอาจจะติดขัด ความจำเป็นในระยะสั้นต้องมาก่อน ก็อาจซื้อกองทุนรวม RMF ด้วยจำนวนเงินที่ลดลง พูดง่าย ๆ คือต้องดูสภาพคล่องของเงินในกระเป๋า ถ้าไม่ติดขัดก็ลงทุนต่อ แต่ถ้าติดขัดก็ลดการซื้อลง ไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันทุกปีก็ได้
เลือกให้ดี เลือกที่ใช่
ความจริงแล้วประโยชน์ที่ได้จากซื้อกองทุนรวม RMF ไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการวางแผนการเงินเพื่อเกษียณด้วย จึงต้องพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน โดยหลัก ๆ แล้ว กองทุนรวม RMF มีนโยบายการลงทุน 4 ประเภท ดังนี้
จากความหลากหลายด้านนโยบายการลงทุนของกองทุนรวม RMF อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนลำบากพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกกองทุนไหน เนื่องจากเมื่อลงทุนไปแล้วจะต้องอยู่ด้วยกันนานหลายปี ถึงแม้ว่าจะอนุญาตให้สับเปลี่ยนกองทุนได้ในระหว่างทาง แต่เชื่อว่าหลายคนคงไม่ต้องการเสียเวลาในเรื่องดังกล่าว แปลว่า ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องการเลือกกองทุนรวมที่ใช่ตั้งแต่เริ่มต้นไปเลย
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเลือกลงทุนกองทุนรวม RMF ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าพร้อมลงทุนหรือไม่ โดยเริ่มจากการสำรวจว่ามีเงินลงทุนเพียงพอหรือไม่ เพราะกองทุนรวม RMF เป็นการลงทุนระยะยาว เมื่อลงทุนไปแล้วจะต้องอยู่ด้วยกันนานหลายปี ที่สำคัญต้องทำตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด ไม่เหมือนกองทุนรวมทั่วไป เพราะมีเงื่อนไขลักษณะเฉพาะ จึงต้องรู้กฎ กติกา มารยาทให้เรียบร้อยก่อนลงทุน
เพราะเมื่อเห็นเงื่อนไขของกองทุนรวม RMF และรู้สึกว่าข้อจำกัดเยอะเกินไปก็อาจตัดสินใจไม่ลงทุน ดังนั้น นอกจากศึกษาเงื่อนไขต่าง ๆ แล้ว ควรดูด้วยว่าโดยเนื้อแท้แล้วจะได้รับประโยชน์อะไรจากการลงทุนด้วย
ที่พูดเช่นนี้ เพราะว่ายังมีหลายคนที่เข้าใจว่าการซื้อกองทุนรวม RMF เพื่อประหยัดภาษีเท่านั้น ไม่ผิดหากจะเข้าใจแบบนั้น แต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของกองทุนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้คนไทยรู้จักออมเงินเอาไว้ใช้ในยามเกษียณ
ดังนั้น ประโยชน์หลักของกองทุนรวม RMF จะช่วยในเรื่องของการลงทุน อีกทั้งยังช่วยในการกระจายความเสี่ยงกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ที่สำคัญช่วยในเรื่องของการเก็บออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ
ส่วนประโยชน์รอง คือ ทุกบาททุกสตางค์ที่ซื้อกองทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
ดังนั้น หากไม่ศึกษาประโยชน์หลักและประโยชน์รองของกองทุนรวม RMF ให้ชัดเจน จะทำให้การวางแผนการลงทุนผิดพลาด เพราะอาจมองเพียงประโยชน์รองเพื่อหวังประหยัดภาษี ทำให้ประโยชน์หลักหายไป
เมื่อสำรวจตัวเองแล้วและมีความพร้อมที่จะลงทุนแล้ว ถัดมาต้องถามตัวเองว่าชอบลงทุนแบบไหน มีสไตล์การลงทุนเป็นอย่างไร เนื่องจากกองทุนรวม RMF มีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกัน แถมมีกองทุนเป็นร้อย ๆ กอง ที่สำคัญแต่ละกองทุนยังมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงสูงก็ต้องเลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้น แต่หากรับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็เลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ และถึงแม้จะเลือกกองทุนรวมได้แล้วก็ต้องดูข้อมูลว่าแต่ละกองทุนนั้นมีนโยบายการลงทุนเป็นอย่างไร เพราะถึงแม้จะเป็นการลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ก็มีความแตกต่างกันในรายละเอียด เช่น มีการลงทุนทั้งในหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดกลาง หุ้นขนาดเล็ก หุ้นเติบโต หรือหุ้นปันผล เป็นต้น เช่นเดียวกับตราสารหนี้ มีทั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ภาคเอกชน ตราสารหนี้ต่างประเทศ เป็นต้น
ขณะที่กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ ต้องดูว่าการลงทุนนั้นเป็นการลงทุนทองคำในประเทศหรือมีนโยบายไปลงทุนทองคำในตลาดต่างประเทศ หรือกองทุนรวมผสมก็ต้องดูรายละเอียดว่ามีการผสมสินทรัพย์ลงทุนใดบ้าง ผสมสินทรัพย์ลงทุนในสัดส่วนเท่าไหร่ และประเด็นที่ขาดไม่ได้ก่อนตัดสินใจลงทุน คือ ต้องดูว่ากองทุนรวมนั้น ๆ มีการบริหารจัดการอย่างไร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มีความมั่นคงมากน้อยแค่ไหน และมีช่องทางในการให้บริการที่สะดวกต่อการลงทุนมากน้อยเพียงใด
ถัดมา ให้ดูว่าใครเป็นผู้จัดการกองทุน เพราะถ้าเป็นผู้จัดการกองทุนที่ดี มีประสิทธิภาพ ติดตามการลงทุนตลอดเวลา ย่อมสร้างผลงานให้กับกองทุนรวมด้วยผลตอบแทนที่น่าประทับใจ ที่ขาดไม่ได้ คือ ดูผลการดำเนินงานในอดีต ต้องศึกษาผลตอบแทนในอดีตว่าเป็นอย่างไร ผลตอบแทนที่ทำได้เพราะอะไร ทำไมถึงทำได้ ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานในอดีตจะไม่ได้การันตีถึงผลตอบแทนในอนาคต แต่อย่างน้อยก็บอกได้ว่าหากผลงานในอดีตทำได้ดี ในอนาคตก็น่าจะทำได้ดี หรือในอดีตทำได้ไม่ดี ก็มีแนวโน้มที่จะไม่ดีได้ โดยนักลงทุนควรดูผลประกอบการของกองทุนรวม RMF ย้อนหลังไป 3 – 5 ปี หรือดูตั้งแต่ก่อตั้งกองทุน เพราะการลงทุนกองทุนรวม RMF เป็นการลงทุนระยะยาว จึงต้องดูความสม่ำเสมอของผลประกอบการด้วย
ซื้อถัวเฉลี่ยดีกว่า
เป็นเรื่องปกติที่ใกล้สิ้นปี จะเห็นความคึกคักของการซื้อกองทุนรวม RMF ครั้นจะบอกว่าเพราะรอเงินเพื่อนำมาลงทุนช่วงปลายปีก็ไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องนัก หรือจะรอเงินโบนัสประจำปีก็ยังไม่ใช่ แต่อาจเป็นความเคยชินมากกว่า
ที่น่าคิดไปกว่านั้น จะสังเกตว่าหลายปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยช่วงปลายปีมีความคึกคัก ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อดัชนีปรับขึ้นไป ถ้าลงทุนก็อาจจะได้ของแพง แต่เนื่องจากการลงทุนในกองทุนรวม RMF เป็นการลงทุนระยะยาว ดังนั้นจึงไม่ควรให้ความสำคัญกับการจับจังหวะลงทุน และอย่าลืมถ้ายังไม่ถึงเวลาขายก็ไม่สามารถขายได้
พูดง่าย ๆ ถึงจะซื้อช่วงสิ้นปี ปีถัดไปก็ไม่มีสิทธิขายออก ถึงแม้ว่าจะเห็นกองทุนรวมที่ซื้อไปให้ผลตอบแทนสวยหรูขนาดไหนก็ตาม ดังนั้น การลงทุนที่เหมาะกับกองทุนรวม RMF คือ การทยอยลงทุน หรือ Dollar Cost Average (DCA)
หากมองถึงเรื่องผลตอบแทน การทยอยลงทุนอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่เป็นวิธีที่ดีที่สุดถ้ามองในเรื่องของการบริหารความเสี่ยง โดยวิธีลงทุนแบบสม่ำเสมอ ด้วยเงินจำนวนเท่า ๆ กันทุกงวด เช่น เดือนละครั้ง ไตรมาสละครั้ง ซึ่งเป็นการถัวเฉลี่ยต้นทุน และเหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่กล้าลงทุนด้วยเงินจำนวนมากหรือเงินก้อน มีความค่อนข้างระมัดระวังในการลงทุน จึงหมายความว่า ไม่ควรรอลงทุนในโค้งสุดท้ายของทุกปี แต่ควรทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนทุกเดือน
ใช้พอยต์บัตรเครดิตก็ซื้อ RMF ได้
ช่วง COVID-19 ระบาด หลายคนมีพอยต์บัตรเครดิตและไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ก็สามารถนำคะแนนมาเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อแลกซื้อกองทุนรวม RMF ได้ ผ่านโครงการ POINT to INVEST สมาร์ทช้อยส์...ใช้พอยต์แลกกองทุน เรียกว่า พอยต์ไม่หาย แถมยังได้ต่อยอดให้งอกเงย พูดง่าย ๆ ใช้พอยต์บัตรเครดิตแทนเงินสดมาซื้อกองทุนรวมนั่นเอง
ปัจจุบันสถาบันการเงินหลายแห่ง เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถใช้พอยต์บัตรเครดิตแลกซื้อกองทุนรวมได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ธ.กรุงเทพ ธ.กสิกรไทย ธ.ทหารไทยธนชาต ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.ยูโอบี บ.บัตรกรุงไทย บ.บัตรกรุงศรีอยุธยา และ บ.อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส
นอกจากนี้ แต่ละสถาบันการเงินยังมีกองทุนรวมให้เลือกหลากหลายจาก บลจ. ชั้นนำ ทั้งกองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมหุ้น หรือกองทุนประหยัดภาษีอย่าง SSF และ RMF ซึ่งสามารถเลือกลงทุนให้เหมาะกับความเสี่ยงของเราได้
หากท่านใด มีบัตรเครดิตของสถาบันการเงินใดอยู่ ลองสำรวจพอยต์ที่คุณมีและลองนำมาแลกเป็นกองทุนรวมดู แล้วคุณจะรู้ว่าความคุ้มค่าของการแลกพอยต์มีอยู่จริง และพอยต์ไม่ได้มีไว้แค่แลกที่พักหรือจองตั๋วเครื่องบินอีกต่อไป โดยผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมการแลกพอยต์ได้ที่เว็บไซต์ POINT to INVEST >> คลิกที่นี่
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวม SSF & RMF แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ลองมาทำความรู้จักกองทุนทั้ง 2 แบบเข้าใจง่าย และเจาะลึกมากขึ้น ทั้งในแง่ของภาพรวมกองทุน กลยุทธ์การลงทุน ตลอดจนเทคนิคการประหยัดภาษีอย่างฉลาด ด้วย “คู่มือ SSF&RMF แฝดคู่ใหม่ใช้ลดหย่อนภาษี” ดาวน์โหลดและอ่านฟรี!! >> คลิกที่นี่
และสำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขต่าง ๆ ในการลดหย่อนภาษี เพื่อให้สามารถวางแผนภาษีและเพิ่มเงินออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนภาษี สไตล์มนุษย์เงินออม” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่