“ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง” คำพูดเดิม ๆ ที่นักลงทุนคงจะเคยได้ยินเมื่อใกล้สิ้นปี เป็นคำพูดที่จะมีคนออกมาเตือน เสมือนว่าปีนี้ตลาดการเงินและตลาดทุน และเศรษฐกิจโดยรวมผ่านสิ่งเลวร้ายและความผันผวนมามาก แต่ปีหน้ายังน่าห่วงกว่านี้ แท้จริงแล้วอาจถูกเพียงครึ่งเดียว ตรงที่ความเสี่ยงมีมากขึ้น แต่อีกครึ่งหนึ่งที่ว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรุนแรงก็ไม่น่าจะใช่ โดยความเสี่ยงในปี 2566 จะมีความเสี่ยงที่ต่อเนื่องมาจากปี 2565 ที่อาจรุนแรงขึ้น นั่นคือ
ทั้งนี้ ความเสี่ยงทั้ง 3 ยังไม่น่าหายไปในช่วงต้นปี 2566 และอาจมีความเสี่ยงอื่น ๆ ตามมา นั่นคือ
5 ธีมการลงทุนเดือนธันวาคม หวัง Christmas Rally
แม้เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความผันผวนมากมาย แต่ในช่วงปลายปีเต็มไปด้วยเทศกาลเฉลิมฉลอง บรรยากาศการลงทุนก็มีโอกาสกลับมาคึกคักสดใสได้บ้างชั่วคราว เสมือนการต้อนรับซานต้าในช่วงคริสต์มาส โดยเฉพาะหลังตลาดคลายความกังวลในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบการประชุมวันที่ 13 – 14 ธันวาคมนี้ ซึ่งเฟดน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตามที่ตลาดคาด ส่งผลให้ปลายปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอยู่ที่ระดับ 4.50% และน่าจะส่งสัญญาณว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงสุด หรือ Terminal Rate น่าจะอยู่ที่ระดับ 5.00 – 5.25% ซึ่งหมายความว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ใกล้จะถึงระดับสูงสุดอย่างเร็วก็ไม่เกินไตรมาสแรกของปี 2566 และหากความเสี่ยงหรือความกังวลที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้รุนแรง นักลงทุนก็น่าจะกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกครั้ง รวมทั้งหาโอกาสในการลงทุนในตลาดตราสารหนี้รับโอกาสผลตอบแทนดอกเบี้ยที่สูงและแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงในปลายปี 2566 โดยผมมองโอกาสการลงทุนในเดือนธันวาคมดังนี้
ตลาดหุ้นจีนมีความผันผวนจากความกังวลต่อการล็อกดาวน์ กำลังซื้อของคนที่ลดลง รวมทั้งความเชื่อมั่นที่หดหาย แนวโน้มเศรษฐกิจจีนจะโตต่ำกว่าคาด แต่การปรับย่อลงของตลาดหุ้นจีนในช่วงก่อนหน้าได้สะท้อนด้านราคามามากแล้ว และด้วยมูลค่าในปัจจุบันนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยนักลงทุนอาจมองหากองทุนที่มีความผสมผสานระหว่างกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มขายของออนไลน์ เกมออนไลน์ รวมทั้งการบริโภคในจีนที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะทำได้หลังจีนควบคุมการแพร่ระบาดได้ในระดับที่น่าพอใจ
ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสรีบาวด์รับการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับบรรยากาศการลงทุนที่คึกคักในทิศทางที่สดใสช่วงปลายปี น่าจะสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และน่าจะหาโอกาสลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีกระแสเงินสดดี มีการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก แต่ก็เปิดโอกาสการเติบโตในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่ม IT กลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่ม Healthcare ซึ่งน่าจะมีโอกาสการปรับตัวขึ้นหลังตลาดคลายความกังวลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
แม้ราคาน้ำมันปรับย่อลงจากความกังวลในการล็อกดาวน์ของจีน และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ซึ่งมีผลต่อแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันลดลง แต่ทิศทางและนโยบายของหลายประเทศในการลงทุนด้านพลังงานทางเลือกยังมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในการลงทุนด้านแบตเตอรี่และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เป็นต้น ซึ่งนับว่ามูลค่าบริษัทในกลุ่มนี้ลดลงจากช่วงก่อนหน้ามาพอสมควร และน่าจะเป็นจังหวะทยอยสะสมอีกครั้ง
การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์นับว่ามีความเคลื่อนไหวน้อยกว่าตลาด เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ และเปิดโอกาสได้รับเงินปันผลหรือรายได้ที่เติบโตจากพื้นที่ให้เช่าในภาคบริการ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองและการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจแบบง่าย ๆ เพื่อจับทิศทางการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และค้นหาหุ้นเด็ดในแต่ละช่วงเวลา สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือเรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม ตลอดจนเทคนิคในการปรับกลยุทธ์เปลี่ยนกลุ่มลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนตามวงจรเศรษฐกิจ การเติบโตของกลุ่มธุรกิจ หรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้น ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการและสามารถเอาชนะตลาดได้ในระยะยาว สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่