5 ธีมการลงทุนรับคริสต์มาส

โดย ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
3 Min Read
2 ธันวาคม 2565
1.925k views
Inv_5ธีมการลงทุนรับคริสต์มาส_Thumbnail
Highlights
  • ความเสี่ยงที่กระทบต่อการลงทุนในปี 2565 จะส่งผลต่อเนื่องไปในปี 2566 และอาจรุนแรงขึ้น เช่น การเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังไม่จบ รวมถึงรัฐบาลจีนที่ยังคงยึดมั่นในมาตรการ Zero-Covid ซึ่งกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน รวมถึงห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น

  • 5 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจรับคริสต์มาส เช่น การลงทุนในกองทุนรวมหุ้นจีน กองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลก กองทุนรวมหุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือก เป็นต้น

“ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง” คำพูดเดิม ๆ ที่นักลงทุนคงจะเคยได้ยินเมื่อใกล้สิ้นปี เป็นคำพูดที่จะมีคนออกมาเตือน เสมือนว่าปีนี้ตลาดการเงินและตลาดทุน และเศรษฐกิจโดยรวมผ่านสิ่งเลวร้ายและความผันผวนมามาก แต่ปีหน้ายังน่าห่วงกว่านี้ แท้จริงแล้วอาจถูกเพียงครึ่งเดียว ตรงที่ความเสี่ยงมีมากขึ้น แต่อีกครึ่งหนึ่งที่ว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรุนแรงก็ไม่น่าจะใช่ โดยความเสี่ยงในปี 2566 จะมีความเสี่ยงที่ต่อเนื่องมาจากปี 2565 ที่อาจรุนแรงขึ้น นั่นคือ

  1. ปัญหาการรุกรานของรัสเซียในยูเครนที่อาจยืดเยื้อ จนกระทบห่วงโซ่อุปทานด้านอาหารสัตว์ ปุ๋ย รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ

  2. ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ยังเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง และเฟดลดความร้อนแรงในการขึ้นดอกเบี้ย แต่อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีหน้าเพื่อคุมเงินเฟ้อให้ลดลงตามกรอบเป้าหมายที่ 2% ให้ได้ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยแรงกว่าที่คาด

  3. จีนล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ต่อเนื่องตามมาตรการ Zero-Covid แต่รอบนี้มีการประท้วงในหลายเมือง ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนยังไม่มีท่าทีผ่อนปรน หากสถานการณ์ยืดเยื้อก็น่าจะกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศจีน โดยเฉพาะต้องติดตามว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะมีปัญหาจนฟองสบู่แตก และราคาที่ดินร่วงหรือไม่ เพราะจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาหนี้ที่สูงในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งทำให้ห่วงโซ่การผลิตชะงักงัน และอาจส่งผลให้การส่งออกและการผลิตในประเทศต่าง ๆ ได้รับผลกระทบตามมาด้วยเนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนวัตถุดิบจากประเทศจีน 

ทั้งนี้ ความเสี่ยงทั้ง 3 ยังไม่น่าหายไปในช่วงต้นปี 2566 และอาจมีความเสี่ยงอื่น ๆ ตามมา นั่นคือ

  1. วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศที่มีหนี้ภาครัฐสูง เช่น อิตาลี หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นจนนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับปัญหาการผิดนัดชำระหนี้เช่นในอดีต แม้ธนาคารกลางยุโรปจะมีมาตรการรับมือ แต่หากยูโรโซนเผชิญปัญหาเศรษฐกิจถดถอยท่ามกลางเงินเฟ้อที่พุ่งสูง การช่วยเหลืออาจทำได้จำกัด และน่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในสกุลเงินยูโร ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและกลับไปถือสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง

  2. วิกฤติตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งสืบเนื่องจากปี 2565 ที่หลายประเทศกำลังเผชิญความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะเมื่อเงินสำรองระหว่างประเทศลดลงเร็วจากรายจ่ายด้านน้ำมันและเงินโอนออกนอกประเทศ ขณะที่รายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวหดหาย ปัญหานี้อาจขยายวงได้อีกครั้ง เสมือนใครจะเป็นโดมิโนรายต่อไปที่จะล้มลง หากนักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นและดึงเงินลงทุนกลับ ค่าเงินจะอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว และประเทศเหล่านี้อาจเผชิญปัญหาสภาพคล่อง จนต้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ แต่ปัญหานี้ไม่น่ารุนแรงจนลุกลามไปประเทศที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงและไม่มีปัญหาด้านความเชื่อมั่น

  3. โควิดกลายพันธุ์ แพร่ได้เร็ว หลบภูมิคุ้มกัน แม้อาการไม่รุนแรง แต่จะส่งผลให้มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขอาจมีปัญหา รัฐบาลอาจต้องจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้ออาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งอาจกระทบภาคการผลิต ซึ่งจะมีผลให้ห่วงโซ่อุปทานมีปัญหา และกระทบการส่งออกได้

 

5 ธีมการลงทุนเดือนธันวาคม หวัง Christmas Rally

แม้เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความผันผวนมากมาย แต่ในช่วงปลายปีเต็มไปด้วยเทศกาลเฉลิมฉลอง บรรยากาศการลงทุนก็มีโอกาสกลับมาคึกคักสดใสได้บ้างชั่วคราว เสมือนการต้อนรับซานต้าในช่วงคริสต์มาส โดยเฉพาะหลังตลาดคลายความกังวลในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบการประชุมวันที่ 13 – 14 ธันวาคมนี้ ซึ่งเฟดน่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตามที่ตลาดคาด ส่งผลให้ปลายปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอยู่ที่ระดับ 4.50% และน่าจะส่งสัญญาณว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงสุด หรือ Terminal Rate น่าจะอยู่ที่ระดับ 5.00 – 5.25% ซึ่งหมายความว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ใกล้จะถึงระดับสูงสุดอย่างเร็วก็ไม่เกินไตรมาสแรกของปี 2566 และหากความเสี่ยงหรือความกังวลที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้รุนแรง นักลงทุนก็น่าจะกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกครั้ง รวมทั้งหาโอกาสในการลงทุนในตลาดตราสารหนี้รับโอกาสผลตอบแทนดอกเบี้ยที่สูงและแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงในปลายปี 2566 โดยผมมองโอกาสการลงทุนในเดือนธันวาคมดังนี้

 

  1. กองทุนรวมหุ้นจีน

ตลาดหุ้นจีนมีความผันผวนจากความกังวลต่อการล็อกดาวน์ กำลังซื้อของคนที่ลดลง รวมทั้งความเชื่อมั่นที่หดหาย แนวโน้มเศรษฐกิจจีนจะโตต่ำกว่าคาด แต่การปรับย่อลงของตลาดหุ้นจีนในช่วงก่อนหน้าได้สะท้อนด้านราคามามากแล้ว และด้วยมูลค่าในปัจจุบันนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยนักลงทุนอาจมองหากองทุนที่มีความผสมผสานระหว่างกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มขายของออนไลน์ เกมออนไลน์ รวมทั้งการบริโภคในจีนที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะทำได้หลังจีนควบคุมการแพร่ระบาดได้ในระดับที่น่าพอใจ 

 

  1. กองทุนรวมหุ้นเอเชียแปซิฟิก
นักลงทุนน่าจะหาโอกาสหลบความผันผวนจากความกังวลด้านปัญหาเงินเฟ้อในยุโรปและสหรัฐฯ มาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คึกคักมากขึ้น รวมทั้งโอกาสในการท่องเที่ยวในภูมิภาค ในขณะที่หากเฟดชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้จริง ธนาคารกลางในภูมิภาคนี้ก็มีโอกาสชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม ประกอบกับค่าเงินในภูมิภาคที่เริ่มแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะช่วยสนับสนุนกระแสเงินทุนไหลเข้ามากขึ้น

 

  1. กองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลก

ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสรีบาวด์รับการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับบรรยากาศการลงทุนที่คึกคักในทิศทางที่สดใสช่วงปลายปี น่าจะสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และน่าจะหาโอกาสลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีกระแสเงินสดดี มีการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก แต่ก็เปิดโอกาสการเติบโตในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่ม IT กลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่ม Healthcare ซึ่งน่าจะมีโอกาสการปรับตัวขึ้นหลังตลาดคลายความกังวลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

 

  1. กองทุนรวมหุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือก

แม้ราคาน้ำมันปรับย่อลงจากความกังวลในการล็อกดาวน์ของจีน และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ซึ่งมีผลต่อแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันลดลง แต่ทิศทางและนโยบายของหลายประเทศในการลงทุนด้านพลังงานทางเลือกยังมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในการลงทุนด้านแบตเตอรี่และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เป็นต้น ซึ่งนับว่ามูลค่าบริษัทในกลุ่มนี้ลดลงจากช่วงก่อนหน้ามาพอสมควร และน่าจะเป็นจังหวะทยอยสะสมอีกครั้ง

 

  1. กองทุน REITs

การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์นับว่ามีความเคลื่อนไหวน้อยกว่าตลาด เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำ และเปิดโอกาสได้รับเงินปันผลหรือรายได้ที่เติบโตจากพื้นที่ให้เช่าในภาคบริการ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองและการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจแบบง่าย ๆ เพื่อจับทิศทางการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และค้นหาหุ้นเด็ดในแต่ละช่วงเวลา สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

 

หรือเรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคที่มีผลต่อการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรม ตลอดจนเทคนิคในการปรับกลยุทธ์เปลี่ยนกลุ่มลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนตามวงจรเศรษฐกิจ การเติบโตของกลุ่มธุรกิจ หรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้น ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการและสามารถเอาชนะตลาดได้ในระยะยาว สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร Sector Rotation ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: