ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมาของปี 2564 ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน บางวันดัชนีขึ้นลงราวกับรถไฟเหาะ แต่ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นแบบไหน หากมีกลยุทธ์การลงทุนที่ชัดเจนก็สามารถลงทุนและทำกำไรได้
เมื่อมองภาพรวมการลงทุนที่เหลือของปีนี้ นักลงทุนอาจประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงมีความผันผวนต่อไป ด้วยปัจจัยภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 การกระจายวัคซีน และค่าเงินบาท ขณะที่ปัจจัยภายนอก ได้แก่ การปรับลดการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing Tapering: QE) ของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก หรือทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น
ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกดังกล่าว ล้วนสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นไทยได้ตลอดเวลา ประกอบกับดัชนีหุ้นไทยมีสัญญาณว่าจะเป็นขาขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ดังนั้น หุ้นตัวใดที่ราคาปรับขึ้นไปค่อนข้างสูงและต่อเนื่อง ย่อมได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบสูงตามไปด้วย
ความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้ เห็นได้จากราคาหุ้นขยับขึ้น แต่เมื่อมีปัจจัยลบเข้ามาอาจทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกันหากมีปัจจัยบวกเข้ามา ดัชนีหรือราคาหุ้นก็พร้อมปรับขึ้นทันที ซึ่งภาพแบบนี้มีโอกาสที่นักลงทุนจะได้เห็นไปจนถึงปลายปี พูดง่าย ๆ ก็คือ ทิศทางตลาดหุ้นจะไม่มีคำว่าขึ้นอย่างเดียว หรือลงอย่างเดียว
จากความผันผวนดังกล่าว ทำให้นักลงทุนเริ่มใช้กลยุทธ์ Wait & See เพื่อรอตลาดนิ่งแล้วค่อยกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในภาวะตลาดผันผวนก็สามารถลงทุนและทำกำไรได้ โดยหากหุ้นที่ซื้อไว้ “ราคาปรับขึ้น ก็ขายทำกำไร” แต่หากตลาดหุ้นผันผวนและทำให้ราคาปรับลดลงก็ “เข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี” หมายความว่า ลงทุนหุ้นช่วงตลาดผันผวนต้องดูหุ้นที่สมเหตุสมผล และเพื่อให้เหมาะสมกับภาวะตลาดหุ้นควรปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สั้นลง
ยกตัวอย่างเช่น หากดัชนีหุ้นปรับลงอย่างต่อเนื่องก็ให้ “ซื้อ” และเมื่อดัชนีปรับขึ้นก็ให้ “ขาย” และหากลงทุนตามดัชนี (Index) ควรเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ซึ่งวิธีการนี้รู้จักกันดีว่าลงทุนแบบ Beta Investing หมายถึง นักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดโดยรวม กล่าวคือ หากตลาดปรับขึ้น ผลตอบแทนก็ขึ้นตาม ในทางกลับกันหากตลาดปรับตัวลง ผลตอบแทนก็ลงตาม
ช่วงตลาดหุ้นผันผวนหรือไร้ทิศทาง “ค่าเบต้า (Beta)” เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่นักลงทุนควรนำมาพิจารณาในการคัดเลือกหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง โดยเลือกหุ้นที่มีความปลอดภัยและมีความผันผวนต่ำกว่าตลาดโดยรวม กล่าวคือ เลือกหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำกว่า 1 ซึ่งนักกลยุทธ์การลงทุนส่วนใหญ่แนะนำว่า ให้เลือกหุ้นที่มีความปลอดภัย (Defensive Stock) มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรง มีพื้นฐานการเงินแข็งแกร่ง หรือหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล (Dividend Stock) เพราะผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) จะสามารถเป็นกันชนที่ช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้นได้
อีกกลยุทธ์หนึ่ง ก็คือ การเลือกลงทุนหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งเรียกการลงทุนแบบนี้ว่า Alpha Investing คือ มุ่งเน้นผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดโดยรวม โดยหุ้นที่เหมาะสมกับการลงทุน คือ หุ้นที่มี Valuation ค่อนข้างถูก เช่น หุ้นที่มีค่า P/E Ratio ต่ำกว่าระดับ P/E Ratio ของตลาดโดยรวม หุ้นที่มีค่า P/BV Ratio ต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือประเมินแล้วว่าราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง เป็นต้น ดังนั้น หากเลือกหุ้นได้ถูกต้อง เมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น จะสามารถทำกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับขึ้น (Capital gain) ได้
ท่ามกลางวิกฤติก็ยังมีโอกาส หากนักลงทุนเข้าใจสัจธรรมของตลาดหุ้นที่ว่า “มีขึ้น ย่อมมีลง” จะทำให้สามารถวางกลยุทธ์ลงทุนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงการมีวินัย ติดตามผลลัพธ์ และปรับกลยุทธ์การลงทุนอยู่เสมอ ความสำเร็จจากการลงทุนก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ไกลเกินเอื้อม
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้วิธีการสร้างและบริหารพอร์ตหุ้นอย่างมืออาชีพ พร้อมเจาะลึกเทคนิคจัดทำแผนการลงทุนทั้งระยะสั้นและระยาว รวมถึงการวางกลยุทธ์การลงทุน เพื่อสร้างพอร์ตลงทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Portfolio Strategy” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน