ถึงแม้ว่าหุ้นขนาดเล็กตัวนั้นจะมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเพียงใด มีระบบการบริหารงานที่ดี มีแนวโน้มการเติบโต มีฐานะการเงินที่แข็งแรง และมีการจัดการสภาพคล่องได้ดี แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น “หุ้นขนาดเล็ก” ก็อาจถูกเหมารวมว่ามีปัจจัยพื้นฐานที่ไม่แข็งแกร่ง (เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ หรือหุ้นบลูชิป) หรือไม่มีบทวิเคราะห์ให้ได้ศึกษามากนัก
ปัจจุบัน พบว่าหุ้นขนาดเล็กที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีมากมายและหลากหลายธุรกิจ และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกลงทุนทั้งหมด ดังนั้น คำแนะนำจากนักวิเคราะห์ (โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง) จึงแนะนำให้นักลงทุนมองหาหุ้นขนาดเล็กที่มีธุรกิจไม่หวือหวา และมีโอกาสเติบโตแข็งแกร่ง
เทคนิคเลือกหุ้นขนาดเล็ก
เนื่องจากหุ้นขนาดเล็กอาจมีปริมาณการซื้อขายต่อวันไม่มาก และได้รับความสนใจจากนักลงทุนหรือนักวิเคราะห์น้อย ดังนั้น หากสามารถหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอนาคต แต่ราคายังไม่ขยับปรับขึ้นก็ย่อมเป็นโอกาสที่ดีได้
โดยอันดับแรกที่ต้องพิจารณา คือ ปัจจัยพื้นฐาน โดยการใช้วิธีวิเคราะห์แบบ Bottom Up คือ คัดเลือกหุ้นแล้วดูว่าบริษัทไหนมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องสม่ำเสมอ (ควรดูผลประกอบการย้อนหลัง 3 – 5 ปี) จากนั้นดูการจ่ายเงินปันผลว่ามีความต่อเนื่องหรือไม่ ดูความแข็งแกร่งของโครงสร้างทางการเงิน หรือภาพรวมของการดำเนินธุรกิจว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง
ถัดมาต้องดู Story ของหุ้นว่ามีดีพอที่จะขับเคลื่อนราคามากน้อยแค่ไหน แล้วดูสภาพคล่องในการซื้อขาย หากค้นหาหุ้นที่ดีแต่ไม่มีสภาพคล่อง เช่น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถือหุ้นในสัดส่วนที่สูง ก็จะมี Free Float น้อย ดังนั้น ต่อให้หุ้นดีแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้ เพราะประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่อยู่คู่กับหุ้นขนาดเล็ก คือ สภาพคล่องต่ำ ดังนั้น กลยุทธ์ที่ควรนำมาใช้ คือ การเข้าออกต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและต้องติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ลงทุนหุ้นขนาดเล็กไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าจะต้องลงทุนเพื่อรับกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับขึ้น (Capital Gain) หรือรับเงินปันผล แต่เงินปันผลก็เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ดังนั้น เมื่อค้นหาหุ้นประเภทนี้แล้วประเมินว่าเป็นหุ้นที่มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอก็จะน่าสนใจมากขึ้น เพราะในบางครั้งราคาหุ้นอาจไม่ถึงเวลาปรับขึ้นในเวลารวดเร็วก็ต้องอดทนรอกันต่อไป เพราะกว่าตลาดหรือนักลงทุนคนอื่น ๆ จะรับรู้ว่าหุ้นตัวนี้มีอนาคตก็อาจรอนาน เช่น 1 ปี หมายความว่า หากต้องการได้ผลตอบแทนที่ดีควรเข้าลงทุนก่อนที่จะรับรู้ในวงกว้าง พูดง่าย ๆ ใครเจอของดีก่อนก็จะได้ประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ เมื่อลงทุนหุ้นขนาดเล็กไปแล้วและเห็นการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานหรือราคาหุ้น ควรพิจารณาว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นที่ถืออยู่ เช่น เริ่มเห็นปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปในเชิงลบหรือราคาปรับขึ้นอย่างรวดเร็วและเกินมูลค่าที่แท้จริง ก็ควรขายออกไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หุ้นขนาดเล็กมีความน่าสนใจแต่ไม่ว่าจะลงทุนหุ้นประเภทใดต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้อยู่เสมอ และหุ้นขนาดเล็กอาจมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น หากสามารถรับความเสี่ยงได้และเลือกหุ้นได้ถูกตัว ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจอยากคัดกรอง “หุ้น” ด้วยตนเอง สามารถสมัครใช้บริการ SETSMART ได้ที่เว็บไซต์ www.setsmart.com เพียง 250 บาทต่อเดือน เมื่อเทียบกับข้อมูลที่จะได้รับ เช่น ภาวะการซื้อขาย เทรนด์นักลงทุนต่างชาติ หรือข้อมูลหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวม ครบจบในเว็บเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลย!!!
และนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่สนใจ ค้นหาหุ้นดี น่าลงทุนด้วย Stock Screening เพื่อให้ได้หุ้นดี โดนใจ โดยไม่ต้องใช้เวลาค้นหานาน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Stock Screening” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่