Impactive Capital บริษัทจัดการการลงทุนที่มีอายุเพียง 3 ปีกำลังมีบทบาทมากขึ้นในการลงทุนด้วย ESG และกลายเป็นนักลงทุน Active Environmental, Social and Governance หรือ AESG ที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับบริษัทในพอร์ตโฟลิโอ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และการกำกับดูแลที่ดีขึ้น
ในปี 2019 ลอเรน เทย์เลอร์ วูล์ฟ และ คริสเตียน อเลฆานโดร แอสมาร์ ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีทั้งในด้าน activist investing และประสบการณ์ด้านคณะกรรมการในบริษัททั้งภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันก่อตั้ง Impactive Capital[1] บริษัทจัดการการลงทุนที่นิยามตัวว่า “activist investment management firm” โดยได้รับทุนประเดิมจากกองทุน California State Teachers’ Retirement System (CalSTRS) จำนวน 250 ล้านดอลลาร์
กลยุทธ์ของบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนระยะยาวในบริษัทต่างๆ ควบคู่กับการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับทีมผู้บริหารและคณะกรรมการเพื่อเพิ่มมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเน้นไปที่การจัดสรรทุนและการกระชับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG)
ผู้ร่วมก่อตั้ง Impactive Capital ได้ทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานานกว่าทศวรรษที่ Blue Harbor Group ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนนักเคลื่อนไหว หรือ activist investment firm รายใหญ่
ลอเรน เทย์เลอร์ วูล์ฟ ผู้ร่วมก่อตั้ง Impactive Capital กล่าวว่า “การลงทุนเฉออกไปไกลและมุ่งเน้นผลในระยะสั้นมากเกินไป กลยุทธ์ของเราไม่ใช่แบบเดิม เราลงทุนในระยะยาว รวมทั้งยกระดับการจัดสรรเงินทุนให้ดีขึ้น ตลอดจน ESG ที่มีผลต่อมูลค่าที่แท้จริง เราลงทุนโดยใช้เครื่องมือต่างๆ ที่เราเชื่อว่าส่งผลในทางบวกต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น ลูกค้า พนักงาน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าและยั่งยืน”
คริสเตียน อเลฆานโดร แอสมาร์ ผู้ร่วมก่อตั้งอีกรายกล่าวว่า “เราเชื่อว่ามีโอกาสมากมายและมากขึ้นสำหรับเราในการทำงานอย่างใกล้ชิดกับบริษัทและคณะกรรมการ ไม่เพียงแต่ปรับปรุงกลยุทธ์ การดำเนินงาน และโครงสร้างเงินทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดำเนินการบน ESG ของบริษัทอีกด้วย ในลักษณะที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานในระยะยาว ESG เป็นตัวขับเคลื่อนสำหรับการสร้างมูลค่าระยะยาวและเราจะมุ่งไปที่การยกระดับตัวแปรด้าน ESG เหล่านั้นที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มีผลต่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว แนวทางของเรามีเป้าหมายเพื่อสร้างมูลค่าให้กับ ผู้ถือหุ้นและสร้างธุรกิจที่ดีขึ้นและยั่งยืนยิ่งขึ้นในระยะยาว”
สโลแกนของบริษัทคือ Active Impact Investing[2] และขยายความว่า AT IMPACTIVE CAPITAL WE INVEST LIKE OWNERS AND ENGAGE WITH COMPANIES TO DRIVE LONG TERM SUSTAINABLE RETURNS
บริษัทได้ใช้ชุดเครื่องมือหลัก 4 ชุด คือ 1)การยกระดับการจัดสรรทุน 2)การริเริ่มในการดำเนินงานและเชิงกลยุทธ์ 3)การยกระดับด้านสังคม Social การกำกับดูแลกิจการ Governance สิ่งแวดล้อม Environment ให้เป็นรูปธรรม และ 4)การใช้โครงสร้างทุนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ยืมกลยุทธ์ลงทุนจากวอร์เรน บัฟเฟตต์
เทย์เลอร์ วูล์ฟ และแอสมาร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Impactive Capital คาดหวังว่าทุกการลงทุนที่ลงทุนไปจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นพันธมิตรที่ลงมือทำจริงจังต่อเนื่องหลายปี ซึ่งรวมไปถึงความคิดริเริ่ม ESG ระยะยาว ที่จะผนวกเข้าไปเพื่อให้มีผลต่อกำไรของบริษัท แม้ในสภาพแวดล้อมที่เพียงการซื้อกองทุนดัชนี S&P 500 ก็ได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ทั้งคู่กลับแตกต่างออกไป ด้วยการเน้นคุณค่า โดยเลือกที่จะเป็นการเป็นเจ้าของบริษัทที่ไม่โดดเด่นเพียงคราวละ 8-12 แห่งเท่านั้น
“การลงทุนเหล่านี้ก็เหมือนกับลูก” แอสมาร์กล่าว “เรารักพวกเขาทั้งหมด”
แต่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า(Value Investor:VI) ต้องยอมปล่อยหุ้นที่รักเหมือนลูกถ้าหากได้ราคาดี ที่เป็นกรอบเชิงวิเคราะห์ที่หยิบยืมมาจากวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นคนแรกที่ทั้งเทย์เลอร์ วูลฟ์และ แอสมาร์ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจในการลงทุน[3]
เทย์เลอร์ วูล์ฟ เติบโตในลองไอส์แลนด์ ได้สัมผัสกับการเป็นผู้ถือหุ้นนักเคลื่อนไหวครั้งแรก ในช่วงที่ทำงานให้กับสำนักงานธุรกิจครอบครัว(family office) รายหนึ่ง ขณะกำลังศึกษาปริญญาโทบริหารธุรกิจ( MBA) ที่ Wharton School ของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ในปี 2003 มูลค่าการลงทุนในธุรกิจค้าปลีก TurboChef ของสำนักงานธุรกิจครอบครัวแห่งนี้ได้เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังบีบให้ยกเครื่องฝ่ายบริหารและในที่สุดก็ขายให้กับ Middleby Corp.
ในปี 2007 ประสบการณ์ shareholder activist ได้นำเทย์เลอร์ วูลฟ์มาทำงานที่ Blue Harbor Group ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์ของคลิฟตัน ร็อบบินส์
ด้านแอสมาร์ใช้ชีวิตในวัยเด็กที่เปอร์โตริโกและสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพริ้นซตัน ด้วยปริญญาด้านการวิจัยเชิงปฏิบัติการและวิศวกรรมการเงิน ได้มาร่วมงานกับ Blue Harbor ตามหลังเทย์เลอร์ วูลฟ์ 2-3 ปี จากที่ก่อนหน้านั้นได้ทำงานที่มอร์แกน สแตนเล่ย์มา 6 ปี
ทั้งสองทำงานร่วมกันในฐานะกรรมการผู้จัดการ และ DNA ของ Impactive Capital ส่วนใหญ่นั้นสืบทอดมาจาก Blue Harbour ซึ่งก็คือ มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน(undervalued businesses) บวกกับการเป็น ไพรเวท อิควิตี้ที่ลงทุนในตลาดทั่วไป และหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
แต่เมื่อเทย์เลอร์ วูล์ฟและแอสมาร์ได้ยินเรื่องราวจากซีอีโอจำนวนหนึ่งว่ารู้สึกถูกกดดันเรื่อง ESG จากผู้ถือหุ้น ผนวกกับการที่พูดคุยกับอดีตพนักงานที่ต้องการให้สถานที่ทำงานสะท้อนคุณค่าของพวกเขาได้ดีขึ้น ทั้งสองเริ่มรู้สึกว่าการใช้ ESG ในการเคลื่อนไหวของผู้ถือหุ้นนั้น น้อยเกินไป
ในช่วงที่ยังทำงานกับ Blue Harbour ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว มีการแลกเปลี่ยนปรัชญาการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ประกอบการ ทั้งสองต้องการพิสูจน์ว่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จสามารถดำเนินการโดยคนอื่นที่ไม่ใช่คนผิวขาว
หลังจากทำงานร่วมกันที่ Blue Harbour นาน 8 ปีทั้งคู่ก็ลาออกในปี 2018 เพื่อพักร้อนและเริ่มเส้นทางใหม่ด้วยการจัดตั้ง Impactive Capital ในเดือนมีนาคม 2019 โดยที่เทย์เลอร์ วูลฟ์ และแอสมาร์ ถือหุ้นเท่ากัน เทย์เลอร์ วูลฟ์ เป็นคนชอบสังคม มีความสุขกับการมีส่วนร่วมกับผู้บริหารและนักลงทุนเพื่อโปรโมตบริษัท ในขณะที่ แอสมาร์พอใจกับอยู่เบื้องหลัง
เทย์เลอร์ วูล์ฟกล่าวว่า “ถ้ามองในแง่การลงทุน เธอน่าจะเป็น ชาร์ลี มังเกอร์ มือขวาของบัฟเฟตต์ แต่ในแง่การตลาด เธอเป็นบัฟเฟตต์สำหรับมังเกอร์”
มุ่ง Small Cap ไม่โดดเด่น-โยกคันเร่ง ESG ทำผลตอบแทน
ในเดือนมีนาคม 2020 Impact capital มองเห็นโอกาสใน Advanced Drainage Systems ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมือง ฮิลเลียร์ด รัฐโอไฮโอ หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงครึ่งหนึ่งในช่วงหนึ่งเดือน Advanced Drainage เป็น บริษัทที่ให้บริการบริหารจัดการน้ำท่วมเจิ่งนอง (Stormwater management) ที่มีรายได้ 1.7 พันล้านดอลลาร์ จากการสร้างอุโมงค์ใต้ดินและผลิตท่อระบายน้ำที่ฝังใต้ถนน ใต้ฐานบ้าน ลานจอดรถ และสนามกอล์ฟ
บริษัทจากย่านมิดเวสต์รายนี้ ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ไม่ได้โดดเด่นในฐานะที่หลบภัย(safe haven)สำหรับนักลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม
เทย์เลอร์ วูล์ฟได้ค้นคว้าลงลึกเกี่ยวกับข้อมูลการท่อพลาสติกรีไซเคิลเมื่อเทียบกับท่อคอนกรีต รวมไปถึงท่อโพลีเอทิลีน “เมก้า กรีน” ใหม่ของบริษัท ซึ่งทำจากพลาสติกรีไซเคิล 60% นั้น ว่า มีโอกาสที่จะชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งได้ และเป็นสิ่งที่ Impactive Capital ชี้ให้ผู้บริหารเห็นเมื่อได้เข้าซื้อหุ้น ADS จำนวน 1 ล้านหุ้น แต่ในขณะที่บริษัทกำลังจัดทำรายงานความยั่งยืนและเว็บไซต์ที่เน้น ESG เพื่อแสดงถึงสิ่งที่บริษัทได้ทำในด้านการรีไซเคิลและการบริจาคเพื่อการกุศล การระบาดของโควิด-19 ได้ปลุกกระแสการสร้างบ้านขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทพุ่งสูงขึ้น ในเวลาไม่กี่เดือนหุ้นของ ADS เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
จากทุนประเดิม 250 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เริ่มต้นบริษัทปี 2019 เงินลงทุนของ Calstrs มีมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 28% ในช่วง 20 เดือน ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนี Russell 2000 ของหุ้นกลุ่ม small cap ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 10%
ทั้งคู่ได้วางกลยุทธ์การลงทุน 4 ข้อหลัก [3] ขั้นแรกคือกลั่นกรองคุณภาพ โดยพิจารณาเฉพาะธุรกิจคุณภาพสูงซึ่งมีทีมบริหารที่ชาญฉลาดและมีอำนาจในการกำหนดราคาในอุตสาหกรรมของตนเอง ขั้นที่สอง จะวิเคราะห์ว่า หุ้นนั้นมีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือไม่ โดยใช้ตัวชี้วัด เช่น กระแสเงินสดเหลือใช้จากการ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเพื่อการดำเนินงานของบริษัท (return on invested capital ) และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(return on equity) ขั้นที่สาม ประเมินว่าธุรกิจนั้นวางแผนระยะยาวได้ดีเพียงใด และอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของธุรกิจนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ส่วนขั้นตอนสุดท้าย คือ การใช้วิธีของนักเคลื่อนไหวจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนให้กับธุรกิจได้หรือไม่
รวมทั้งทำการศึกษาวิจัยทั้งหมดล่วงหน้าก่อนที่จะซื้อหุ้นเข้าพอร์ตโฟลิโอ โดยแต่ละครั้งจะมีหุ้นราว 12 ตัว ที่คอยจังหวะจะซื้อเพิ่มหรือขายออก
บริษัทแรกๆ ที่ทั้งคู่ลงทุนคือ Asbury Automotive Group Inc. (ABG) ในเมืองดุลูท รัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ที่มีรายได้ 7.2 พันล้านดอลลาร์ และมีสาขากระจายอยู่ทั่ว 9 รัฐ ธุรกิจจำหน่ายรถใหม่ไม่ได้ทำกำไรให้บริษัทมากนัก ขณะที่ธุรกิจอะไหล่และบริการ มีสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของ EBITDA แต่เมื่อ Impactive Capital เริ่มสำรวจรูปแบบธุรกิจ พบว่าบริษัทมีอัตรากำลังการผลิตเพียง 50% และมีความสามารถที่จะบริการซ่อมได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ก็ไม่สามารถจ้างช่างได้มากพอ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วช่างยนต์ 98% เป็นผู้ชาย
Impactive Capital มีผลงานย้อนหลังที่ดีในการให้บริการหาแนวทางแก้ไขสำหรับปัญหาด้านการปฏิบัติงานในลักษณะนี้ ผนวกกับการคำนึงถึง ESG เพิ่มเติมด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เทย์เลอร์ วูล์ฟได้คัดพนักงานที่มีศักยภาพจำนวนมากที่ธุรกิจตัวแทนขายรถและธุรกิจบริการซ่อมส่วนใหญ่ไม่ได้นึกถึงนั่นคือ ผู้หญิง โดยได้ติดต่อกับบริษัทที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำ เพื่อจัดหาช่างยนต์หญิงมาทำงานที่ศูนย์ซ่อมตัวถังและสีรถยนต์มากขึ้น[4]
Impactive Capital ซึ่งถือหุ้น 5.02% ในบริษัท ได้โน้มน้าวบริษัทให้มีสวัสดิการลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้างสำหรับช่างเครื่อง จัดให้มีการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ และจัดรอบการทำงานให้ยืดหยุ่น โดยแบ่งเป็น 2 กะต่อวันเพื่อรองรับการดูแลเด็กได้ดีขึ้น สร้างห้องล็อกเกอร์และห้องน้ำแยกสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย และกลายเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีสวัสดิการลาคลอดบุตร และการปรับเปลี่ยนทั้งหมดจะช่วยให้รับสมัครช่างยนต์ผู้หญิงได้มากขึ้น ตลอดจน ABG สามารถแก้ปัญหาด้านแรงงานได้ด้วยการจ้างแรงงานส่วนสำคัญจากอีก 2% ที่เหลือ
อีกทั้งการโน้มน้าวให้ผู้บริหารเห็นด้วยก็ไม่ได้ยาก เมื่อ Impactive Capital แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มอัตราการใช้กำลังผลิตเพิ่มขึ้นเพียง 5% เป็น 55% ก็จะเพิ่มมูลค่าของบริษัทขึ้น 15% และหากสัดส่วนช่างยนต์ชายกับช่างยนต์หญิงในที่ทำงาน เปลี่ยนจาก 98:2 เป็น 90:10 ก็จะเพิ่มแรงงานจำนวนมากให้กับกลุ่มช่าง และการเปลี่ยนแปลงกำลังแรงงานเหล่านี้สามารถช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจที่ทำกำไรได้มากที่สุด คืออะไหล่และบริการ จากเติบโตอัตราเลขหลักเดียวในระดับกลางถึงสูง เป็นการเติบโตในอัตราเลขสองหลัก
Asbury ดึงดูดช่างยนต์หญิงเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการลงทุนของ Impactive Capital จึงไม่ได้รับผลตอบแทนในทันที ราคาหุ้นร่วงลง 60% ตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงจุดต่ำสุดในวันที่ 18 มีนาคม แต่ได้ฟื้นตัวจากการระบาดของไวรัสโควิดจนราคาหุ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนตุลาคม 2020
เครื่องมือ ESG จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น
เทย์เลอร์ วูลฟ์ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ CNBC[5] ในปี 2021 ถึงแนวทางการลงทุนของบริษัทว่า อย่างแรกคัดเลือกบริษัทที่มีคุณภาพสูง จากนั้นจะใช้ ESG ในการเคลื่อนไหว (ESG Activism) และมองว่า เครื่องมือ ESG จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น
นอกจากนี้ยังได้ยกตัวอย่างกรณี บริษัท Asbury Automotive Group Inc. ที่รับช่างผู้หญิงมากขึ้นท่ามกลางการขาดแคลนแรงงาน เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการยอมรับความหลากหลาย Diversity& Inclusion ที่จะเสริมศักยภาพของธุรกิจในการทำกำไรได้ดีขึ้น
เทย์เลอร์ วูล์ฟ ระบุว่า ยังมีนักลงทุนจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่า diversity & inclusion(แนวคิดการบริหารที่สนับสนุนความหลากหลายและยอมรับความแตกต่างของพนักงานในองค์กร) นั้นสามารถมีส่วนหนุนราคาหุ้นให้สูงขึ้นได้
Asbury Automotive Group Inc. มีช่างผู้หญิงเพียง 2% เมื่อเทียบกับการใช้จ่ายถึง 2 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีในอุตสาหกรรมนี้ของผู้หญิงในฐานะลูกค้า Impactive Capital จึงกางข้อมูลให้บริษัทเห็นว่า เมื่อมีช่างเพิ่มขึ้น ก็สามารถให้บริการได้มากขึ้น ประสิทธิภาพในการบริการดีขึ้น และโน้มน้าวในบริษัทเริ่มรับสมัครช่างที่เป็นผู้หญิง และการดำเนินการแบบนี้ก็จะหนุนมูลค่าของกิจการโดยรวม
แน่นอนการการจ้างช่างผู้หญิงเข้ามาในวงการที่ 98% เป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เรื่องนี้สามารถทำได้ เพราะฝ่ายบริหารเข้าใจและเห็นด้วย พร้อมกับปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน แบ่งการทำงานอกเป็น 2 รอบกะต่อวัน มีสวัสดิการลาคลอด
“เรามองว่า หากเราสามารถปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยในการทำธุรกิจก็จะช่วยได้มาก นอกจากจะดึงทีมงานได้มากขึ้นแล้ว ยังมีผลต่อวัฒนธรรมองค์กรและมูลค่ากิจการจะเพิ่มขึ้นในที่สุด”
เทย์เลอร์ วูล์ฟกล่าวว่า “ปัจจัย ESG เกี่ยวข้องกับการดึงดูดและรักษาลูกค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงานได้เหนียวแน่นที่สุด และเป็นสามองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด บริษัทที่ทำทั้ง 3 ด้านได้ดีกว่าคู่แข่งก็จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน” “และจะทำได้ดีกว่าเมื่อมองจากมุมการทำผลกำไร”
สำหรับสิ่งแวดล้อมหรือ E นั้นเทย์เลอร์ วูล์ฟกล่าวว่า จะคงเป็นประเด็นสำคัญต่อเนื่อง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งทำให้ Imapctive Capital ลงทุนในบริษัท Crown holdings และเชื่อว่า พลังงานไฮโดรเจน และก๊าซเรือนกระจกจะได้รับความสนใจมากขึ้น จึงลงทุนในบริษัท KBR ธุรกิจด้านเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม รวมทั้งมีส่วนร่วมกับในการขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเหมาะสม ในระยะยาว
อีกตัวอย่างการใช้ ESG ในการขับเคลื่อนธุรกิจคือ การลงทุนใน Wyndham Hotels [6]เชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีแบรนด์ภายใต้การบริหารถึง 20 แบรนด์เช่น Ramada, Travelodge, Super 8, Days Inn, Microtel, จากโรงแรมทั่วโลกกว่า 9,000 แห่งในกว่า 80 ประเทศ
บริษัท Wyndham ได้ริเริ่มโปรแกรมการ Loyalty ภายใต้คำแนะนำของ Impactive Capital ที่ให้คะแนนแก่ลูกค้าที่เข้าพัก หากเลือกที่จะไม่ซักผ้าปู ที่นอนทุกวัน ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของโรงแรม
Wyndham ยังได้ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยให้ franchisee หรือ ผู้รับสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจโรงแรมของแบรนด์ลดต้นทุนและประหยัดพลังงาน และยังมีส่วนต่อผลกำไรอีกด้วย Imapctive Capital จึงได้ทำงานร่วมกับ Wyndham เพื่อหาแนวทางลดต้นทุนให้กับfranchiseeซึ่งจะทำให้มีการตัดสินใจเลือกใช้เชนหรือแบรนด์ของ Wyndham ซึ่งเป็น franciser หรือผู้มอบสิทธิ์ในการใช้แบรนด์ มากกว่าเแบรนด์อื่นๆ
เลี่ยงใช้ Proxy fight เน้นสื่อความ”ESG เสริมความสามารถในการทำกำไร”
เทย์เลอร์ วูล์ฟและแอสมาร์ได้ใช้แหล่งเงินทุนที่เพิ่มขึ้นเพื่อยกระดับยุทธวิธีของผู้ถือหุ้นนักเคลื่อนไหว shareholder activist โดยใช้ความร่วมมือและให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นหลัก แทนที่จะเป็นการเผชิญหน้ากัน
Impactive Capital ต่างจาก activist hedge funds อื่นตรงที่ไม่ทำตัวเป็นผู้ถือหุ้นนักเคลื่อนไหวที่มุ่งร้าย รวมทั้งหลีกเลี่ยง proxy fight และการคุกคาม โดยเลือกที่จะเข้าเป็นกรรมการเป็นครั้งคราวและมีการเกลี้ยกล่อมอย่างนุ่มนวลอยู่เบื้องหลัง ผ่านการสื่อข้อความหลักคือ ESG จะเสริมความสามารถในการทำกำไร และให้คำมั่นว่าจะไม่ถอนตัวออกหากการรายงานผลการดำเนินงานครั้งต่อไปไม่ตรงตามที่ตั้งไว้
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การลงทุนใน Asbury Automotive Group Inc ซึ่ง Impactive Capital ถือหุ้นมานานเป็นปีอย่างเงียบๆ แม้ว่าชอบที่จะเข้ามาเป็นบอร์ดในบริษัทที่ลงทุน แต่กับ ABG นั้น Impactive Capital กลับไม่ได้ร่วมเป็นกรรมการบริษัท จากหลายเหตุผลด้วยกัน ประการแรกซึ่งปฏิบัติงานได้อย่างน่าประทับใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับผู้ถือหุ้น ประการที่สอง คณะกรรมการได้แสดงให้เห็นว่ามีความมุ่งมั่นและมีวินัยในการมุ่งเน้นไปที่มูลค่าผู้ถือหุ้น และประการที่สาม Impactive Capital ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคณะกรรมการและผู้บริหาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมรับการพิจารณาข้อเสนอแนะที่สมเหตุสมผลจากผู้ถือหุ้น
ไม่เพียงขับเคลื่อน ESG ในการลงทุนเพื่อทำผลตอบแทนให้บริษัทและนักลงทุนแล้ว เทย์เลอร์ วูล์ฟและแอสมาร์ ก็ได้ใช้ ESG ในข้อ Diversity & Inclusion เพื่อขยายผลในวอลล์สตรีท เริ่มจาก Impactive Capital เอง ซึ่งพนักงาน 5 จากทั้งหมด 9 คนของ Impactive Capital เป็นผู้หญิงหรือคนผิวสี และบริษัทพยายามปฏิบัติในสิ่งที่เทย์เลอร์ วูล์ฟ เรียกว่า customer activism โดยขอให้ผู้ให้บริการงานวิจัยภายนอก นักบัญชี วาณิชธนกิจ และนักกฎหมายให้การสนับสนุน Impactive Capital ด้วยทีมที่หลากหลาย และเรียกร้องให้ผู้จัดการสินทรัพย์รายอื่นดำเนินการในลักษณะเดียวกัน
อ้างอิง
[1] PR Newswire.2019.Activist Investment Management Firm Impactive Capital Secures $250 Million Anchor Investment https://www.prnewswire.com/news-releases/activist-investment-management-firm-impactive-capital-secures-250-million-anchor-investment-300793019.html(22 April 2022)
[2] IMPATCIVE Capital. https://www.impactivecapital.com/(22 April 2022)
[3] Forbes 2020. From Buffett With Love: Meet The Activists Shaking Up Small Cap Stocks. https://www.forbes.com/sites/hanktucker/2020/11/24/from-buffett-with-love/?sh=719baf80537b (22 April 2022)
[4] CNBC.2021. Activist investor collaborates with company to boost profits, improve working conditions for women. https://www.cnbc.com/2021/07/17/activist-investor-collaborates-with-company-to-boost-profits-improve-working-conditions-for-women.html (22 April 2022)
[5] CNBC.2021. Impactive Capital’s Wolfe on how companies can improve profits using ESG. https://www.cnbc.com/video/2021/07/23/impactive-capitals-wolfe-on-how-companies-can-improve-profits-using-esg.html (22 April 2022)
[6] Colossus.2021. Lauren Taylor Wolfe – Wyndham Hotels: Loyalty Matters. https://www.joincolossus.com/episodes/88311676/taylor-wyndham-hotels-loyalty-matters?tab=transcript (22 April 2022)
[7] ThaiPublica. “กองทุน Impactive Capital”ลงทุนเหมือนเจ้าของ ใช้ ESG เพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น