ถึงแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจ และหลาย ๆ ธุรกิจในประเทศไทย จะยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งอาจส่งผลให้บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์บางราย ตัดสินใจชะลอแผนเข้ามาระดมทุน แต่หากมองถึงหุ้นที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering : IPO) ที่เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทย พบว่ามีอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 มีหุ้น IPO เข้ามาซื้อขายบนกระดานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รวมกันทั้งสิ้น 20 บริษัท และรออนุมัติไฟล์ลิ่งเพื่อเตรียมตัวเข้าซื้อขายในปีนี้อีกประมาณ 20 บริษัท แสดงให้เห็นว่านักลงทุนกำลังมีหุ้นใหม่ที่จะเข้ามาให้เลือกลงทุนมากขึ้น และเป็นโอกาสในการแสวงหาหุ้นใหม่ ๆ ที่จะช่วยสร้างโอกาสให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี
นักลงทุนมักจะมีคำถามเสมอว่า เมื่อซื้อหุ้น IPO ควรขายในวันแรกที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ นอกจากนี้ก็มักจะมีคำถามตามมาว่า ควรจะขายหุ้น IPO เมื่อไหร่ดี เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ก่อนอื่นนักลงทุนต้องรู้หรือตอบได้ว่า มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น IPO นั้นอยู่ที่ราคาเท่าไหร่
ซึ่งความจริงแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการตัดสินใจลงทุนและซื้อขายหุ้น คือ การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ การเข้าใจในธุรกิจ และการประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อหาราคาที่เหมาะสม เป็นต้น โดยนักลงทุนอาจจะพิจารณาศึกษาจากบทวิเคราะห์ ที่นักวิเคราะห์ได้ทำการวิเคราะห์ราคาที่เหมาะสมหรือให้ราคาเป้าหมาย (Target Price) ไว้ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยนักลงทุนในการตัดสินใจว่า ควรจะซื้อหรือขายเมื่อใด จากนั้นจึงเปรียบเทียบราคาตลาด ณ ปัจจุบันกับราคาเป้าหมายที่ได้จากการประเมิน โดยนักลงทุนจะตัดสินใจซื้อเมื่อราคาตลาดต่ำกว่าราคาเป้าหมาย และจะตัดสินใจขายเมื่อราคาตลาดสูงกว่าราคาเป้าหมาย เช่น ราคาหุ้น IPO อยู่ที่ 10 บาท นักวิเคราะห์ประเมินว่าราคาที่เหมาะสมหรือราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 13 บาท
เมื่อหุ้น IPO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ราคาหุ้นปรับขึ้นเป็น 11-12 บาท ซึ่งยังไม่ถึงราคาที่เหมาะสม ก็จะมีคำถามอีกว่า ควรจะขายทำกำไรเลยหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องพิจารณาว่านักลงทุนมีเป้าหมายการลงทุนแบบใด หากเป็นนักลงทุนระยะสั้นก็อาจขายออกไปเพื่อทำกำไรก่อน แต่หากเป็นนักลงทุนระยะยาวก็สามารถถือต่อไปได้เมื่อประเมินว่า ธุรกิจมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอนาคตการดำเนินธุรกิจที่ดีในระยะยาว และราคาตลาดยังไม่ถึงราคาเป้าหมาย
สำหรับการลงทุนระยะยาวนั้น นักลงทุนต้องมีการติดตามข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนพัฒนาการต่าง ๆ ของบริษัทอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจจะมีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ว่าในทางบวกหรือลบในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินลงทุนว่านักลงทุนควรจะซื้อ ถือ หรือขายหุ้น
ในกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงกว่าราคา IPO นักลงทุนก็ต้องพิจารณาถึงสาเหตุหลัก หากพบว่า ราคาหุ้นปรับลดลงเพราะความผันผวนของตลาดโดยรวม ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐาน นักลงทุนก็ไม่ควรจะขายหุ้นหรือตัดขาดทุน อาจจะซื้อเพื่อลงทุนเพิ่มได้ด้วยถ้าราคาลดต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมมาก ๆ แต่หากพบว่า ราคาหุ้นที่ปรับลดลงนั้น เป็นเพราะปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็อาจต้องขายออกเพื่อตัดขาดทุน
ดังนั้น การลงทุนหุ้น IPO อย่ามองแค่ราคาขึ้นลงของหุ้นในวันแรกที่เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนควรพิจารณาจากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยหากหุ้น IPO ที่ถืออยู่นั้น มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีผลการดำเนินงานเติบโตดี และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ หากใช้กลยุทธ์ลงทุนในระยะยาว อาจจะได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจ ซึ่งอาจได้กำไรที่ดีกว่าการขายตั้งแต่วันแรกของการ IPO
ด้วยเหตุนี้ ถ้านักลงทุนมั่นใจในหุ้น IPO ที่ถืออยู่แล้ว และมีนโยบายการลงทุนในระยะยาว หรือเพื่อรอรับเงินปันผล นักลงทุนจะต้องมีความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานและลักษณะการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นอย่างดี จึงจะทำให้สามารถวิเคราะห์และประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นได้อย่างถูกต้อง เพื่อช่วยในการตัดสินใจได้อย่างมีสติ ไม่ตามกระแสหรือความผันผวนของตลาดโดยรวม
หากนักลงทุนสนใจลงทุนหุ้น IPO การศึกษาข้อมูลและรายละเอียดก่อนลงทุนถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่อยู่ระหว่างคำขอเข้าจดทะเบียน (Upcoming IPO) รอเสนอขาย และสามารถดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวน รวมถึงบทวิเคราะห์ ได้ฟรี!!! ที่ >> คลิกที่นี่
และสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ที่อยากเรียนรู้แนวคิดและขั้นตอนในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อนำมาใช้คัดกรองบริษัทที่มีพื้นฐานดีเหมาะแก่การลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ลงทุนหุ้นมั่นใจ ต้องเข้าใจปัจจัยพื้นฐาน” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่