หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีจุดดึงดูดความสนใจของนักลงทุนอยู่หลายประการ โดยเฉพาะตัวเลขอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่อยู่ในระดับน่าประทับใจ อีกทั้งเป็นธุรกิจที่เข้าใจง่าย และเป็นธุรกิจที่มีส่วนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ โดยหากพิจารณาเหตุผลเด่น ๆ ที่ควรลงทุนแล้ว มี 10 เหตุผลที่น่าสนใจ ดังนี้
1. เป็นธุรกิจที่มีความยั่งยืน
ที่อยู่อาศัยเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่จำเป็นในการดำรงชีพ ดังนั้น ความต้องการ (Demand) ที่อยู่อาศัย จึงมีเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ขณะที่อุปทาน (Supply) ถูกจำกัดด้วยที่ดินสำหรับการพัฒนา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงถือเป็นธุรกิจที่มีความยั่งยืนในระยะยาว เพียงแต่ในบางช่วงเวลาอาจมีความไม่สมดุลของ Demand กับ Supply เกิดขึ้นได้บ้าง แต่จะสามารถปรับเข้าหาสมดุลได้ในที่สุด
2. มีเกราะป้องกันการแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างชาติ
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย มักมีข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคอย่างมากไปจนถึงการกีดกันไม่ให้ผู้ประกอบการที่เป็นชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจ ท่าทีของผู้ประกอบการต่างชาติต่อผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่จึงออกมาในรูปแบบของการเป็นพันธมิตรมากกว่าเข้ามาเป็นคู่แข่ง การแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ จึงเป็นการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการในประเทศด้วยกันเอง ซึ่งมีข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบกันไม่มาก
3. ลักษณะธุรกิจสามารถจับต้องได้ ใกล้ตัว เข้าใจได้ไม่ยาก
ธุรกิจนี้ ถือเป็นธุรกิจที่นักลงทุนสามารถสัมผัสและพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ การเข้าเยี่ยมชมโครงการ การเข้าสู่กระบวนการซื้อที่อยู่อาศัย นับเป็นธุรกิจที่ใกล้ตัว ทำให้นักลงทุนสามารถติดตามความเป็นไปของผู้ประกอบการแต่ละรายได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับการลงทุนในธุรกิจประเภทอื่น ที่อาจสัมผัสและทำความเข้าใจได้ยากกว่า
4. ได้รับการดูแลจากภาครัฐ
เนื่องจากขนาดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีขนาดใหญ่ และกระบวนการในการดำเนินธุรกิจมีความเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงการจ้างงาน ทำให้เป็นธุรกิจที่มีน้ำหนักในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศมากพอสมควร ด้วยความสำคัญดังกล่าวทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับการดูแลจากภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการมีมาตรการกระตุ้นออกมาบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดภาษีและค่าธรรมเนียม การจัดหาแหล่งเงินสำหรับผู้ซื้อบ้าน
5. สามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้อย่างสมเหตุสมผล
การที่สามารถติดตามข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ ทั้งการสร้าง Presale ความคืบหน้าในการก่อสร้าง การเปลี่ยนแปลงของ Backlog ทำให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการได้อย่างสมเหตุสมผล สามารถลดความเสี่ยงการลงทุนให้ต่ำลงได้ ขณะเดียวกันสามารถสร้างโอกาสในการทำกำไรได้ดีขึ้น
6. มีตัวเลือกในการลงทุนเป็นจำนวนมาก
บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย มีประมาณ 40 บริษัท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกมากมายในการเข้าลงทุนและมีโอกาสทำกำไรจากการสลับตัวหุ้นลงทุน (Switching) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
7. ราคาหุ้นถูกกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด และมี Dividend Yield สูง
ในภาวะปกติหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มักมีค่าเฉลี่ย P/E Ratio ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีหุ้นไทยราว 30 – 50% ขณะเดียวกัน ค่าเฉลี่ยอัตราปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ยังอยู่ในระดับที่สูง นักลงทุนสามารถเลือกหุ้นในกลุ่มนี้ไว้ในพอร์ตการลงทุนระยะยาวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีฐานธุรกิจขนาดใหญ่พอสมควรและมีความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ
8. มีเหตุการณ์หรือโอกาสในการสร้างกำไรได้บ่อยครั้ง
เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่นักลงทุนสัมผัสได้ง่าย บ่อยครั้งจึงเกิดการสร้างประเด็นในการซื้อขายหุ้นได้ เช่น ความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยมีลูกค้าขอซื้อเต็มทั้ง 100% ในระยะเวลาอันสั้น การเข้าซื้อสินทรัพย์รายการที่โดดเด่น เช่น ที่ดินใจกลางเมือง การเปลี่ยนแปลงราคาวัสดุก่อสร้าง หรือแม้กระทั่งการซื้อกิจการ ประเด็นเหล่านี้ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีราคาหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า Book Value ขณะที่กิจการถือครองสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับการนำมาสร้างกำไรในอนาคตได้
9. ราคาหุ้นส่วนใหญ่ต่ำกว่า 10 บาท ทำให้การซื้อขายมีสภาพคล่อง
เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาหุ้นกลุ่มกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่มีราคาต่อหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำ โดยมักต่ำกว่า 10 บาท ทำให้นักลงทุนรายย่อยหรือรายใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อขาย อันเป็นเหตุปัจจัยให้การหมุนเวียนเปลี่ยนมือของหุ้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ถือเป็นปัจจัยช่วยลดความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ตาม ควรให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ขนาดใหญ่ ซึ่งมีการซื้อขายเปลี่ยนมือสม่ำเสมอมากกว่าหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดเล็ก
10. ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนชนะตลาด
ช่วง 12 ปีที่ผ่านมา (ปี 2552 ถึง ปี 2563) หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนชนะตลาดโดยรวมถึง 22% โดยปีที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คือ ปี 2552 ให้ผลตอบแทนสูงถึง 94% เทียบกับดัชนีหุ้นไทยที่ปรับขึ้น 63% และปี 2555 หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์สร้างผลตอบแทนถึง 79% เทียบกับดัชนีหุ้นไทยที่ 36%
ส่วนปีที่ให้ผลตอบแทนแพ้ดัชนีหุ้นไทยมากที่สุด คือ ปี 2553 ซึ่งดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 41% ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทน 25% และในช่วงปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนลดลง 18% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทนลดลง 8% แต่ส่วนใหญ่เป็นผลกระทบที่เกิดกับบริษัทที่พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ส่วนบริษัทที่พัฒนาโครงการแนวราบก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี
จะเห็นได้ว่า ในปีที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนแพ้ดัชนีหุ้นไทยมีส่วนต่างที่ไม่มาก แต่ในปีที่ชนะจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ
สำหรับผู้ที่สนใจอยากคัดกรอง “หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ด้วยตนเอง เพื่อโอกาสในการได้รับปันผลหรือสร้างผลตอบแทนที่ดี สามารถสมัครใช้บริการ SETSMART ได้ที่เว็บไซต์ www.setsmart.com เพียง 250 บาทต่อเดือน เมื่อเทียบกับข้อมูลที่จะได้รับ เช่น ภาวะการซื้อขาย เทรนด์นักลงทุนต่างชาติ หรือข้อมูลหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวม ครบจบในเว็บเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลย!!!
หรือผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคและวิธีการคัดกรองหุ้นด้วยตนเองผ่านโปรแกรม SETSMART พร้อมเจาะลึกลักษณะของธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการวิเคราะห์หุ้นในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Stock Screening & Sector Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน