แม้ตลาดน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก แต่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศผู้บริโภคน้ำมันสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา และจีน มีการคลายล็อกดาวน์ เริ่มมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เริ่มมีการท่องเที่ยวในประเทศ ความต้องการบริโภคน้ำมันโลกกำลังจะกลับมา โดยคาดว่าความต้องการน้ำมันที่ฟื้นตัวหลังวิกฤติ COVID-19 เป็นการฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งราคาน้ำมันให้ปรับตัวสูงขึ้น
ในช่วงที่ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับขึ้นนี้ หากนักลงทุนจะมองหาเครื่องมือในการลงทุนที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นก็คือ การลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน
การลงทุนในกองทุนรวมน้ำมันในประเทศไทย ณ ขณะนี้ เป็นกองทุนรวม Feeder Fund ที่ไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ETF (Master Fund) ในต่างประเทศ โดยหลัก ๆ แล้ว จะมี 2 กองทุน ได้แก่
1. Invesco DB Oil Fund (DBO) เป็นกองทุนรวม ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก บริหารและจัดการโดย Invesco Capital Management LLC โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate-Light Sweet Crude Oil (WTI) เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง Deutsche Bank Liquid Commodity Index-Optimum Yield Crude Oil Excess Return
2. United States Oil Fund (USO) เป็นกองทุนรวม ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก บริหารและจัดการโดย United States Commodity Funds, LLC โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate-Light Sweet Crude Oil (WTI) และเน้นลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จะหมดอายุในเดือนที่ใกล้ที่สุดหรืออายุสั้นที่สุด
สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายที่ปรึกษาบริหารเงินลงทุน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า ทั้งสองกองทุนนี้ คือ กองทุน DBO และกองทุน USO จะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ ซึ่งมีหลักการ คือ เมื่อสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบที่กองทุนถืออยู่ครบกำหนดอายุ กองทุนจะต้องมีการปิดสัญญาและเปลี่ยนไปลงทุนสัญญาของเดือนถัดไป ซึ่งเรียกว่า การ Roll สัญญา หรือ Roll Yield
ตัวอย่างเช่น กองทุน USO จะเน้นลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จะหมดอายุในเดือนใกล้ ดังนั้นจะต้องมีการเปลี่ยนสัญญาทุกเดือนเมื่อสัญญาตัวเก่าใกล้ครบกำหนดอายุ แต่ในภาวะตลาดที่เป็นรูปแบบ Contango ซึ่งเป็นภาวะที่ราคาของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะสูงกว่าราคาส่งมอบ (Spot Price) จะทำให้กองทุนมีต้นทุนการเปลี่ยนสัญญาที่สูง เพราะกองทุนต้องขายสัญญาตัวเก่าแล้วไปซื้อสัญญาตัวใหม่ที่แพงกว่า
ดังนั้น กองทุน USO จึงเหมาะสมกับการลงทุนในระยะสั้นมากกว่าการซื้อแล้วถือลงทุนระยะยาว ขณะที่กองทุน DBO สามารถเลือกลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเดือนไกลได้ หากสัญญาในระยะสั้นต้องเผชิญกับต้นทุนการเปลี่ยนสัญญาที่สูงและสัญญาเดือนไกลมีความเหมาะสม หรือกองทุนมองแล้วว่าราคาน้ำมันในอนาคตจะปรับตัวลดลงมากกว่าราคาในปัจจุบัน ซึ่งเป็นภาวะตลาดแบบ Backwardation ที่ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะต่ำกว่าราคาส่งมอบ กองทุนก็จะไม่ลงทุนในสัญญาเดือนไกล แต่จะลงทุนในสัญญาเดือนใกล้แทน
นอกจากนี้ สานุพงศ์ ยังได้แนะแนะเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนและข้อควรระวังในกองทุนรวมน้ำมันไว้ดังนี้
กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน
1. จัดสัดส่วนการลงทุนให้พร้อมก่อนลงทุน กองทุนรวมน้ำมันไม่เหมาะกับการลงทุนแบบซื้อ ๆ ขาย ๆ เพราะมีต้นทุนในการซื้อขายและมีระยะเวลาในการได้รับเงิน สิ่งที่ควรทำเลย ก็คือ การจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้“ควรจัดพอร์ตลงทุน โดยแบ่งสินทรัพย์ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นสินทรัพย์ที่เอาไว้ลงทุนระยะยาว คือ Core Portfolio ส่วนที่สองเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุนตามรอบ เพื่อลงทุนตามธีมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาด ด้วยความเสี่ยงไม่ได้สูงเกินไป เรียกว่า Satellite Portfolio โดยสัดส่วนที่ควรจัด ไม่ได้เป็นสัดส่วนตายตัว เช่น แบ่งเป็น 70:30 ได้ แต่ไม่ควรมี Satellite มากกว่า Core Portfolio ซึ่งกองทุนรวมน้ำมันจัดอยู่ใน Satellite Portfolio เนื่องจากน้ำมันมีความไม่แน่นอนสูง แนะนำว่า ควรถือไม่เกิน 5% ของพอร์ตลงทุน” สานุพงศ์ แนะนำ
2. ไม่เข้าไปถือยาว และไม่ควรลงทุนในทุกรอบ
นักลงทุนไม่ควรถือยาว เพราะน้ำมันเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง อีกทั้งไม่ควรเข้าไปลงทุนในทุกรอบเมื่อเห็นโอกาส แต่ควรประเมินในเรื่องของ Upside และ Downside ของน้ำมันก่อน ว่าคุ้มค่ากับการเข้าไปลงทุนหรือไม่ ถ้า Upside มีจำกัด ก็ไม่ควรเข้าไป เพราะอาจต้องรับความเสี่ยงมากขึ้น
3. เลือก Master Fund ให้ถูกกับสถานการณ์
ถ้าประเมินว่า ราคาน้ำมันในอนาคตจะปรับตัวลดลงและตลาดอยู่ในภาวะ Backwardation ควรเลือก Master Fund ที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบที่อายุสั้นที่สุด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับราคาส่งมอบ (Spot Price) มากที่สุด แต่ถ้าประเมินว่า ราคาน้ำมันในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้นและตลาดอยู่ในภาวะ Contango ควรเลือก Master Fund ที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบในเดือนที่ไกลออกไป เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน
4. กำไรหรือขาดทุน ให้ดูที่ Master Fund (DBO, USO) อย่าดูที่ราคาน้ำมัน
สิ่งที่กองทุนรวมน้ำมันลงทุน ก็คือ ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ ไม่ได้ลงทุนโดยการซื้อน้ำมันดิบและนำมาเก็บไว้ เพราะฉะนั้นผลตอบแทนของกองทุนรวมจะไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันหรือราคาซื้อขายทันที ดังนั้น “หากนักลงทุนต้องการดูผลตอบแทนว่าจะกำไรหรือขาดทุนต้องไปดูว่ากองทุนรวม ในที่นี้ คือ DBO และ USO ถือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบรุ่นใด แล้วสัญญารุ่นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างไร รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งจะสะท้อนผลตอบแทนได้ชัดเจนกว่าราคาน้ำมัน ส่วนราคาน้ำมัน อาจใช้ในแง่ของการดูเทรนด์ ดูจังหวะในการเข้าการออก” สานุพงศ์ อธิบาย
ข้อควรระวังสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน
1. ระวังการถือกองทุนรวมน้ำมันในระยะยาว เพราะอาจจะได้รับผลกระทบจากการ Roll Yield ทำให้ไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง โดยเฉพาะช่วงที่กองทุนมีการเปลี่ยนสัญญา เพราะถ้าไปซื้อผิดจังหวะ ตอนที่กองทุนรวมเปลี่ยนสัญญาและตลาดกลับเป็นขาลง อาจขาดทุนได้ จุดนี้จึงต้องระวังเป็นอย่างมาก2. เนื่องจากเป็นการลงทุนในต่างประเทศ และราคาระหว่างวันมีความผันผวนมาก การคาดการณ์และการจับจังหวะลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน จึงทำได้ยาก
3. การซื้อขายกองทุนรวมน้ำมัน จะไม่เห็นราคาก่อนตัดสินใจ และการประกาศราคา NAV จะล่าช้า
4. การลงทุนในกองทุนรวมน้ำมันเหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น ใน Satellite Portfolio ไม่แนะนำให้ถือลงทุนระยะยาว เพราะน้ำมันมีความผันผวนและอาจไม่ได้สะท้อนราคาน้ำมันในระยะยาว
5. อย่าลืม ตรวจสอบทางเลือกการลงทุนอื่น ๆ เช่น ลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงาน (Energy Sector) หรือลงทุนโดยตรงในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า Oil Futures เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมน้ำมันถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมาก หากลงทุนโดยขาดความเข้าใจ อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับพอร์ตลงทุนได้ ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลกองทุนรวมน้ำมัน โอกาส และความเสี่ยงจากการลงทุนให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับมือใหม่ที่สนใจเรียนรู้กระบวนการสร้างและบริหารพอร์ตการลงทุนด้วยกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนให้เงินออม สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “สร้างพอร์ตกองทุนรวมแบบ DIY” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน