สำหรับใครที่สนใจการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการลงทุน และอยากเริ่มต้นทำความเข้าใจแนวคิดการซื้อขายหุ้นด้วย Robot วันนี้เรามีบทสรุปพิเศษจากงาน Exclusive Workshop “เทรดหุ้นด้วย Python” มือใหม่ก็เรียนได้ โดยคัดเฉพาะประเด็นสำคัญมาฝากกัน เนื้อหาในบทความนี้แบ่งออกเป็น 2 หัวข้อ ได้แก่
ช่วงที่ 1 : หัวข้อ “ใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้ตอบโจทย์การลงทุน”
รู้ไหมว่าปัจจุบันบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ Apple ได้มีการเปิดตัวบริการบัตรเครดิต Apple Card พร้อมด้วยบริการเงินฝากออนไลน์ดอกเบี้ยสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เริ่มกระโดดเข้ามาสู่โลก Fintech แล้ว
Fintech ย่อมาจากคำว่า Finance + Technology คือการนำเทคโนโลยีมาทำให้ระบบการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ใครก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ทั้ง SME Start-up หรือแม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และบริษัทประกันชีวิต
จุดเริ่มต้นของ Fintech เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1950 ที่เริ่มมีบัตรเครดิตในสหรัฐ โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ชำระเงินง่ายขึ้น ไม่ต้องพกเงินสดเยอะ จากนั้นก็เกิดตู้ ATM ในปี 1960 เกิดตลาดหุ้น NASDAQ ในปี 1970 และเข้าสู่ยุคของอินเทอร์เน็ตในปี 1980 จึงเกิดการเทรดหุ้นออนไลน์
กระทั่งมาเฟื่องฟูจริง ๆ ตั้งแต่ช่วงปี 2000 เป็นต้นไป เพราะการมาของ Smart Phone ทำให้ทุกคนสามารถเทรดหุ้นบนมือถือได้ง่ายขึ้น รวมทั้ง Mobile Banking ซึ่งมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และล่าสุดโลกของ Fintech ได้เดินทางเข้าสู่ยุคของ Blockchain แล้ว
ในส่วนของ Wealth Tech ที่เป็นการนำ Fintech มาประยุกต์ใช้กับการบริหารความมั่งคั่ง ก็เริ่มพัฒนาตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเช่นกัน ปัจจุบันมีเครื่องมือที่น่าสนใจด้วยกัน 4 ประเภท ได้แก่
ข้อดีของการใช้ Algorithmic Trading มีอยู่ด้วยกัน 3E
นักลงทุนสามารถใช้ Algorithmic Trading ได้กับหลากหลายตลาด ทั้ง Capital Market, Money Market, Commodity Market, Foreign Exchange, Market Digital และ Asset Market แต่ในที่นี้จะเน้นไปที่การประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้นเป็นหลัก
คำถามสำคัญคือ Man vs Machine ใครจะชนะ มองว่าในแง่ของการลงทุนคนยังชนะ AI ได้อยู่ เพราะมีปัจจัยภายนอกมากมายเกินกว่าที่จะคาดการณ์ได้หมด ทว่าเราสามารถใช้ Man กับ Machine ทำงานร่วมกันได้ เช่น การสร้างโมเดลการลงทุนร่วมกันระหว่าง AI กับนักวิเคราะห์ ซึ่งเชื่อว่า การลงทุนเองตนเอง และให้เครื่องมือช่วยเราด้วย เป็นแนวทางที่ได้ผลดีที่สุด
การลงทุนกับ Robot ต้องมีวินัย “วินัย คือ การทำในสิ่งที่เราไม่ได้อยากจะทำ” เพราะฉะนั้น เช่นเดียวกับในโลกการลงทุน เราต้องมีวินัยกับการ Cut Loss ด้วย อย่าปล่อยให้ขาดทุนไปเรื่อย ๆ จนกลับมาได้ลำบาก
วิธีการใช้ Algorithmic Trading ช่วยตอบคำถามว่าซื้อหุ้นอะไรดี
ยกตัวอย่างการใช้แนวคิดของ CAN SLIM กำหนดกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งประกอบด้วย
C: การเติบโตของกำไรสุทธิเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
A: การเติบโตของงบการเงินประจำปีเมื่อเทียบกับปีก่อน
N: มีการออกสินค้าใหม่ การเปลี่ยนผู้บริหาร เปลี่ยนกลยุทธ์ หรือราคาหุ้นใกล้ New Highs หรือเปล่า
S: Free Float ต้องไม่เยอะจนเกินไป
L: หุ้นตัวนี้เป็นผู้นำในกลุ่มไหม
I: สถาบันเริ่มเข้ามาลงทุนแล้วหรือยัง
M: ดูทิศทางตลาดว่าอยู่ในสภาวะที่ดีไหม
เวลาเริ่มทำกลยุทธ์จะต้องเริ่มจากการทำ "Black Testing" โดยนำข้อมูลในอดีตมาหา indicator และ parameter ที่ดีที่สุด แล้วจึงทำ "Forward Testing" คือกันข้อมูลเป็น 2 ส่วน ระหว่างข้อมูลที่หา indicator กับ parameter และสมมุติว่าเราไม่เห็นข้อมูลในช่วงระยะเวลาถัดมา จากนั้นเป็นการ “Live Testing” เหมือนเป็นการเปิดเครื่องจริงดูเรียลไทม์ว่าแต่ละวันซื้อขายหุ้นอะไรบ้าง แต่ยังเป็น paper trade ยังไม่ลงตลาดจริง
สุดท้ายก็คือ "Real Trading" ซึ่งเชื่อได้เลยว่าจะไม่เหมือนเดิม เพราะตอนทำ testing คำสั่งซื้อของเรายังไม่ได้เข้าตลาด แต่วินาทีที่ออเดอร์เราเข้าตลาด ก็จะมี Robot ของคนอื่นวิเคราะห์เราอยู่เหมือนกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์การลงทุนไปเรื่อย ๆ เนื่องจากตลาดจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นทุกวัน กลยุทธ์ง่าย ๆ เดิม ๆ ที่เคยทำกำไรได้ วันนี้อาจจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว
ช่วงที่ 2 : เวิร์กชอป : “หาไอเดียซื้อขายหุ้นด้วย Robot”
การใช้ Robot มีประโยชน์มาก แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังกลัวที่จะใช้ระบบนี้ เพราะมีภาพว่าต้องเก่งคอม แต่ในความเป็นจริงแล้วเพียงต้องมี Logic ในการลงทุน แล้วสามารถนำไปให้ Developer เขียนโปรแกรมต่อได้ ซึ่งหัวใจสำคัญคือเราต้องอธิบายกลยุทธ์และระบบแนวคิดของตัวเองให้ชัดเจน
ระบบเทรดคืออะไร?
Trading system คือ ระบบปฎิบัติในการเทรด ไม่ใช่การเอา Indicator มาแปะรวมกัน ซึ่งก็มีหลายระบบที่ไม่ได้ใช้เทคนิคอลเลย แต่เป็นการเอาข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์เพื่อหาสัญญาณการเข้าออก ระบบที่ดีผลลัพธ์ต้องตรวจสอบได้ วัดผลได้ ทำซ้ำได้ รวมทั้งต้องมีวินัยและความเชื่อในการทำตามระบบ โดยองค์ประกอบของระบบเทรด ได้แก่ Strategy, Objective และ Money Management
ขั้นตอนการออกแบบระบบเทรด
ประโยชน์ของระบบเทรด คือ เน้นภาพรวมให้เห็นทั้งหมด มีขั้นตอน มีลำดับชัดเจน ว่าจะทำอะไรบ้าง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรวจสอบได้ ปราศจากอคติ แต่อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วยังเข้าใจได้ยากสำหรับมือใหม่ แต่ทุกคนสามารถเริ่มศึกษาและทำได้
ไอเดียสำหรับการทำระบบเทรด
สรุปค่าสถิติสำคัญที่ควรรู้
โดยสรุปแล้วต้องวิเคราะห์ระบบเทรด เพื่อให้รู้จักระบบเทรดที่ใช้งานมากขึ้น สามารถเปรียบเทียบระบบเพื่อเลือกใช้งานได้ และไม่ถูกหรอกโดยผลลัพธ์การเทรดเพียงอย่างเดียว ตลอดจนสามารถนำไปวิเคราะห์รูปแบบการเทรดของผู้อื่นได้ด้วย อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นสรุปข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ผู้ที่สนใจสามารถรับชม Workshop ฉบับเต็ม เพื่อศึกษารายละเอียดแบบเจาะลึก พร้อมดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ คลิก
Disclaimer : ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนที่ปรากฏนี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลในอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นโดยการอิงกับไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Based) หรือกระแส (Trend) ซึ่งรวบรวมมาจากข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่รับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลดังกล่าวรวมทั้งไม่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนใด ๆ ในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน และตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายหรือสูญหายจากการนำข้อมูลที่ปรากฏนี้ไปใช้ในทุกกรณี