ในช่วงเกิดวิกฤติ นักลงทุนสามารถประสบความสำเร็จจากการลงทุนได้ เพียงเริ่มต้นเรียนรู้ ติดตามข่าวสาร ตลอดจนหากลยุทธ์และเครื่องมือในการวิเคราะห์ เพื่อนำมาใช้เลือกหุ้นและตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำ
ถึงแม้ในช่วงต้นปี 2564 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ สังเกตได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก ไม่คึกคัก ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่าย รวมถึงกระแสการทำงานที่บ้านยังคงอยู่ อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายไตรมาส 1 ปีนี้ เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวก ผู้คนเริ่มกล้าจับจ่ายใช้สอย กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น การส่งออกเริ่มฟื้นตัว ทำให้เชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยกำลังจะเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลัง ซึ่งตัวชี้วัดสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ มีดังนี้
1. การบริโภคถึงแม้ว่าการบริโภคภายในประเทศจะยังไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ปี 2564 ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการเราชนะ โครงการ ม.33 เรารักกัน เป็นต้น ประกอบกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ผ่อนคลายลง การกระจายวัคซีนได้อย่างรวดเร็วและเริ่มเปิดประเทศ จะเห็นการบริโภคฟื้นตัวอย่างชัดเจน
2. การลงทุนปัจจุบันเริ่มเห็นการเปิดประมูลโครงการลงทุนโดยภาครัฐ เช่นโครงการรถไฟทางคู่ที่เปิดประมูลในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จึงเริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนของภาครัฐกลับมาอีกครั้ง ส่วนการลงทุนในภาคเอกชนจะเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อมีการเปิดประเทศให้นักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้
3. การส่งออก มีสัญญาณดีขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญกำลังฟื้นตัว เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป โดยมูลค่าการส่งออกในเดือนเมษายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 14 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.09% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมูลค่าการส่งออกใน 4 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 4.78% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐของไทยในปี 2564 จะเติบโต 10.3% โดยสินค้าส่งออกที่เติบโตได้ดี คือ กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร, สินค้าเพื่อใช้กับการทำงานที่บ้าน, สินค้าสุขอนามัย, เคมีภัณฑ์, เหล็ก, แผงวงจรไฟฟ้า และรถยนต์และส่วนประกอบ
เมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะโดยปกติแล้ว ตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวเร็วกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อนักลงทุนเริ่มเห็นสัญญาณของเศรษฐกิจว่าจะฟื้นตัวก็เริ่มเข้ามาลงทุน (ภาษานักลงทุน เรียกว่า ซื้อดัก) สังเกตได้จากในช่วงต้นปี 2564 เป็นต้นมา ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนมองไปข้างหน้าว่าหากตัวเลขทางเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นต่อไปได้
จัดพอร์ตลงทุน
ในช่วงเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว เกือบทุกอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต ภาคธนาคาร ภาคการบริโภค ภาคการท่องเที่ยว ภาคการขนส่ง ภาคการส่งออก ภาคเทคโนโลยี (ที่ภาครัฐและเอกชนจะมีเงินมาลงทุนใน Digital Platform มากขึ้น) กลายเป็นว่า ในช่วงปีนี้ก็มีหุ้นหลายกลุ่มที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ไม่สามารถลงทุนหุ้นได้ทุกตัว จึงต้องพิจารณาและเลือกลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง
ถ้านักลงทุนรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มั่นคง ไม่หวือหวามาก มีปันผลสูง แต่มูลค่าหุ้น (Valuation) ไม่แพงมากนัก ด้วยการทยอยสะสมเพื่อลงทุนระยะยาว ในธุรกิจที่มีความมั่นคง มีความสามารถในการขยายธุรกิจและมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว เมื่อลงทุนก็มีความปลอดภัย เช่น ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจอาหาร ธุรกิจสื่อสาร ธุรกิจขนส่ง หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ถ้านักลงทุนรับความเสี่ยงได้สูง ควรเลือกลงทุนในหุ้นเติบโตหรือหุ้นที่ฟื้นตัวหลังจากผ่านพ้นช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งหุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ด้วยการเลือกหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่หวือหวามากนัก พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ดี และเลือกกลยุทธ์จับจังหวะการทำกำไรตามรอบ (ซื้อและรอทำกำไรเมื่อราคาหุ้นรีบาวน์) เพราะราคาหุ้นของธุรกิจเหล่านี้จะปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม สินค้าโภคภัณฑ์ พลังงานและปิโตรเคมี หรือธุรกิจพลังงานทดแทน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ปัจจัยเสี่ยงทั้งอัตราเงินเฟ้อที่มีโอกาสปรับขึ้น, ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ทยอยลดวงเงินมาตรการ QE, การฉีดวัคซีนล่าช้า, ประสิทธิผลของวัคซีนลดลง, การประทุรอบใหม่ของสงครามการค้า, ปัญหาการเมืองในต่างประเทศและในประเทศ เป็นต้น ซึ่งหากนักลงทุนประเมินว่ามีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นก็ต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์
สำหรับผู้ที่สนใจอยากคัดกรอง “หุ้น” ด้วยตนเอง เพื่อลงทุนไปพร้อมกับช่วงเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ www.setsmart.com ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้ได้ทดลองใช้งาน SETSMART ฟรี 15 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก SET Member เท่านั้น และหากต้องการใช้งานต่อ ก็สามารถสมัครได้ เพียง 250 บาทต่อเดือน เมื่อเทียบกับข้อมูลที่จะได้รับ เช่น ภาวะการซื้อขาย เทรนด์นักลงทุนต่างชาติ หรือข้อมูลหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวม ครบจบในเว็บเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลย!!!
หรือผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคและวิธีการคัดกรองหุ้นด้วยตนเองผ่านโปรแกรม SETSMART พร้อมเจาะลึกลักษณะของธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการวิเคราะห์หุ้นในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Stock Screening & Sector Analysis” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ: บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน