พอนึกถึงหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก นักลงทุนส่วนใหญ่จะคิดถึงหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่มักต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงด้วยเช่นกัน (High Risk, High Expected Return) หรือมักจะคิดถึงลักษณะความเคลื่อนไหวของราคาที่เหวี่ยงแรงหรือเคลื่อนไหวผิดกลไกของตลาด
ถึงแม้ว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจะมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเพียงใด มีระบบการบริหารงานที่ดี มีแนวทางการเติบโต มีฐานะทางการเงินที่แข็งแรง และมีการจัดการสภาพคล่องได้ดี แต่เมื่อเป็นหุ้นที่อยู่ในดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai Index) หรือดัชนี sSET อาจถูกตีความว่ามีปัจจัยพื้นฐานที่ไม่แข็งแกร่ง (เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่) หรือไม่มีบทวิเคราะห์ให้ได้ศึกษามากนัก ส่งผลให้นักลงทุนหน้าใหม่เลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ก่อนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว หุ้นขนาดกลางเล็กและขนาดเล็กก็สามารถลงทุนได้ เพียงวิเคราะห์ให้ดีก็สามารถค้นพบเพชรเม็ดงามที่สร้างผลตอบแทนอย่างน่าประทับใจได้ จึงไม่อยากให้นักลงทุนตัดโอกาสการลงทุนเพียงเพราะขนาด แต่ควรพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานที่แท้จริง
ถ้าจะให้นึกถึงนักลงทุนระดับโลกที่สนใจลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก คือ ปีเตอร์ ลินซ์ โดยเขาได้กล่าวไว้ในหนังสือ Beating the Street ว่า การกระจายการลงทุนไปในหุ้นเติบโตเร็วเป็นทางเดียวที่ช่วยให้พอร์ตการลงทุนชนะตลาดได้ นั่นหมายความว่า ถ้าพอร์ตการลงทุนมีส่วนผสมของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างเหมาะสม อาจทำให้ผลตอบแทนชนะตลาดได้ และหากพูดถึงเสน่ห์ของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก หลัก ๆ แล้วมี ดังนี้
ฐานกำไรสุทธิอยู่ในระดับต่ำ ทำให้อัตราการเติบโตสูงกว่าบริษัทใหญ่ที่มีฐานกำไรมาก
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท A ทำกำไรสุทธิได้ปีละ 50 ล้านบาท หากทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท จะเติบโต 20% ขณะที่ บริษัท B ทำกำไรสุทธิได้ปีละ 100 ล้านบาท หากทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10 ล้านบาทเท่ากัน จะเติบโตเพียง 10% และหากสมมติให้หุ้นของทั้ง 2 บริษัท ซื้อขายที่ P/E Ratio เท่ากัน ราคาหุ้นของบริษัท A จะปรับตัวขึ้น 20% ต่อปี ขณะที่ ราคาหุ้นของบริษัท B จะปรับตัวขึ้นเพียง 10% ต่อปีเท่านั้น
งบการเงินไม่ซับซ้อน
เนื่องจากขนาดธุรกิจยังไม่ใหญ่มากนักหรือยังไม่มีบริษัทย่อย ทำให้นักลงทุนสามารถอ่านข้อมูลในงบการเงินและตรวจสอบความถูกต้องหรือข้อสงสัยในงบการเงินได้ง่าย ไม่ซับซ้อน
ธุรกิจเข้าใจง่าย
เนื่องจากเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ลักษณะการดำเนินธุรกิจจึงยังไม่ซับซ้อน เพราะยังมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจในสิ่งที่บริษัทถนัด จึงเข้าใจลักษณะการดำเนินธุรกิจได้ไม่ยาก
ธุรกิจอยู่ในช่วงเจริญเติบโต (Growth Stage)
เมื่อธุรกิจอยู่ในช่วงเติบโต หากนักลงทุนวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจได้ถูกต้องและเข้าไปลงทุนในช่วงเติบโตสูงก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนในรูปแบบกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น หรือ Capital Gain ในระดับที่น่าประทับใจ
ผลตอบแทนและความผันผวน
จากตารางผลตอบแทนและความผันผวนของดัชนี FTSE SET Index Series ในแง่ของผลตอบแทน หากพิจารณาผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี จะเห็นได้ว่า หุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) เท่ากับ 32.4% หุ้นขนาดกลาง (Mid Cap) เท่ากับ 44.4% หุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) เท่ากับ 17.6% และหุ้นโดยรวมในตลาด (SET All Share) เท่ากับ 25.5%
ขณะที่ หากพิจารณาความผันผวนเฉลี่ย 5 ปี จะเห็นได้ว่า หุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) เท่ากับ 24.2% หุ้นขนาดกลาง (Mid Cap) เท่ากับ 19.4% หุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) เท่ากับ 17.7% และหุ้นโดยรวมในตลาด (SET All Share) เท่ากับ 17.8%
จะเห็นได้ว่า แม้ในระยะยาวหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันความผันผวนก็สูงตามไปด้วย ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก นักลงทุนต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงที่ต้องเผชิญควบคู่กันไปด้วย
สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นอยู่ในระดับต่ำ
เนื่องจากจำนวนหุ้นที่กระจายให้นักลงทุนทั่วไปยังไม่มากนัก ทำให้ปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ในระดับต่ำตามไปด้วย อาจทำให้นักลงทุนกังวลในด้านสภาพคล่องจึงตัดสินใจไม่ลงทุน
นักลงทุนส่วนใหญ่ คือ นักลงทุนรายย่อย
เนื่องจากนักลงทุนสถาบันจะมีข้อจำกัดในการลงทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก จึงทำให้เวทีนี้เป็นของนักลงทุนรายย่อย และอาจมีโอกาสเห็นความผันผวนของราคาหุ้นหรือปริมาณซื้อขายได้ในบางช่วง โดยเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาขาดความต่อเนื่อง นักลงทุนจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
ผลประกอบการผันผวนมาก
อาจมาจากลักษณะของธุรกิจที่ผันแปรตามปัจจัยฤดูกาลและวัฏจักรทางธุรกิจหรือจากการตัดสินใจในการขยายธุรกิจ อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงานได้ ดังนั้น การคัดกรองหุ้นนอกจากวิเคราะห์ผลประกอบการในอดีตแล้ว การประเมินไปในอนาคต ก็ต้องเน้นแนวโน้มของกลุ่มอุตสาหกรรมและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจอยากคัดกรอง “หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก” ด้วยตนเอง ลองเข้าไปที่เว็บไซต์ www.setsmart.com ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้ได้ทดลองใช้งาน SETSMART ฟรี 15 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพียงแค่สมัครเป็นสมาชิก SET Member เท่านั้น และหากต้องการใช้งานต่อ ก็สามารถสมัครได้ เพียง 250 บาทต่อเดือน เมื่อเทียบกับข้อมูลที่จะได้รับ เช่น ภาวะการซื้อขาย เทรนด์นักลงทุนต่างชาติ หรือข้อมูลหุ้น อนุพันธ์ และกองทุนรวม ครบจบในเว็บเดียว ก็ถือว่าคุ้มค่ามากเลย!!!
และผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในมุมมองต่าง ๆ ทั้งการอ่านแบบ 56-1 และการอ่านงบการเงินเบื้องต้น เพื่อค้นหาบริษัทที่น่าลงทุน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Company Analysis in Practice” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน