กองทุนรวมหุ้น หรือ กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) คือ กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในตราสารทุนประเภทต่าง ๆ เช่น หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, ใบสำคัญแสดงสิทธิ และหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้น ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม (NAV) กองทุนนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว สามารถรับความเสี่ยงและความผันผวนได้สูง เพื่อมุ่งหวังการเติบโต และสร้างผลตอบแทนที่ดี
เทคนิคสำคัญที่ใช้เลือกกองทุนรวมหุ้น
1. ผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอ
ถึงแม้ว่าผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต แต่อย่างน้อยก็ทำให้เห็นคุณสมบัติหรือลักษณะเฉพาะบางอย่างของกองทุน ที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้ โดยเริ่มจากการคัดกรองกองทุนรวมหุ้นที่น่าสนใจ ด้วยการดูผลตอบแทนของกองทุน ซึ่งผลตอบแทนของกองทุนนั้น สามารถดูได้จากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุป (Fund Fact Sheet) โดยดูผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป เพื่อให้เห็นความต่อเนื่อง ซึ่งในระยะยาวต้องให้ผลตอบแทนที่ดี และในระยะสั้นผลตอบแทนต้องมีความสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ยังต้องเปรียบเทียบผลตอบแทนกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) ด้วย เพื่อดูว่ากองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหรือไม่ โดยหากเป็นกองทุนรวมหุ้นที่มีการบริหารแบบเชิงรุก ประเภท Active Fund ผลตอบแทนควรสูงกว่าดัชนีชี้วัด ขณะที่ กองทุนรวมหุ้นที่มีการบริหารแบบเชิงรับ ประเภท Passive Fund ผลตอบแทนควรใกล้เคียงหรือเท่ากับดัชนีชี้วัด รวมถึงต้องเปรียบเทียบผลตอบแทนกับกองทุนรวมอื่น ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
2. โครงสร้างพอร์ตของกองทุน
วิเคราะห์โครงสร้างพอร์ตลงทุนของกองทุนรวมหุ้นว่า กองทุนนั้นมีความเสี่ยงที่จะลงทุนแบบกระจุก (Concentration Risk) อยู่ในหุ้นไม่กี่ตัวหรือไม่กี่อุตสาหกรรมหรือไม่ โดยดูได้จากรายชื่อหุ้นที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของทั้งพอร์ตลงทุน ซึ่งผลตอบแทนที่ดี ควรจะมาจากหุ้นหลาย ๆ ตัว ไม่กระจุกอยู่ในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ต่อมา ต้องดูรายชื่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ว่ามีการกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมหรือไม่ ถ้าผู้จัดการกองทุน เลือกหุ้นหลาย ๆ ตัว และลงทุนแบบกระจายในหลายอุตสาหกรรม เมื่อเกิดปัญหากองทุนจะไม่ได้รับผลกระทบหรือเสียหายมาก ขณะเดียวกันยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ ดังนั้น ควรเลือกลงทุนในกองทุนที่มีโครงสร้างพอร์ตลงทุนที่ดี มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
3. ค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม
ค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม คือ ไม่จำเป็นต้องถูกที่สุด ถ้าผลตอบแทนในระยะยาวดีและสม่ำเสมอ ค่าใช้จ่ายอาจจะแพงกว่ากองทุนรวมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าก็ได้ หรือถ้ากองทุนรวมหุ้นนั้น มีฝีมือการลงทุน มีผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกัน ควรเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า ดังนั้น ควรพิจารณาค่าธรรมเนียมกับผลตอบแทนที่ได้รับคู่กันเสมอ
โดยกองทุนรวมที่เก็บค่าใช้จ่ายเมื่อซื้อ จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่ากองทุนรวมที่เก็บค่าใช้จ่ายเมื่อขาย เพราะการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นเป็นการลงทุนระยะยาว การเก็บค่าใช้จ่ายเมื่อซื้อเหมือนเรียกเก็บจากราคาทุน ซึ่งน้อยกว่าการเก็บค่าใช้จ่ายเมื่อขาย เพราะเป็นการเก็บขาออก คือ เก็บเมื่อมีกำไรแล้ว
4. ความสามารถในการบริหารจัดการกองทุน
ถ้ากองทุนรวมหุ้นมีขนาดใหญ่ขึ้น ควรพิจารณาต่อไปว่า ผู้จัดการกองทุนจะมีฝีมือการบริหารเป็นอย่างไร ยังคงบริหารแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีอยู่หรือไม่ รวมถึงเมื่อฝากเงินให้ผู้อื่นดูแล ก็ต้องวิเคราะห์ให้ลึกไปที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ด้วยว่า มีความสามารถในการบริหารจัดการกองทุนดีเพียงใด การบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างไร ได้รับรางวัลต่างๆ เป็นเครื่องยืนยันคุณภาพหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจลงทุน
ศึกษาการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ผ่าน e-Learning หลักสูตร “กองทุนรวม The Series” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ: บทความนี้เรียบเรียงเนื้อหาจาก e-Learning หลักสูตร “กองทุนรวม The Series” โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน