เป็นที่ทราบกันดีว่า หากเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเมื่อความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เช่น ลาออกจากงาน โอนย้ายกองทุน เกษียณอายุ หรือเสียชีวิต เงินที่อยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่สมาชิกกองทุนจะได้รับนั้น จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหรือข้อบังคับของแต่ละกองทุน ดังนั้น จึงควรตรวจสอบเงื่อนไขหรือข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจให้ถี่ถ้วน
1. ส่วนเงินสะสมและผลประโยชน์จากเงินสะสม เงินส่วนนี้เป็นส่วนที่ลูกจ้างหรือสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจ่ายสะสมเข้ากองทุนทุกเดือน รวมถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากเงินสะสม เมื่อความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง จึงทำให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินส่วนนี้เต็มจำนวนในทุกกรณี
2. ส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบ เงินส่วนนี้เป็นส่วนที่นายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับลูกจ้างหรือสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทุกเดือน เมื่อความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง เงินส่วนนี้จะได้คืนเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหรือข้อบังคับของแต่ละกองทุน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะกำหนดตามอายุงานหรือจำนวนปีที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อจูงใจให้พนักงานทำงานระยะยาว
ตัวอย่าง
อายุงานน้อยกว่า 1 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 10%
อายุงานตั้งแต่ 1 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 2 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 20%
อายุงานตั้งแต่ 2 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 3 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 40%
อายุงานตั้งแต่ 3 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 4 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 50%
อายุงานตั้งแต่ 4 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 5 ปี มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 80%
อายุงานมากกว่า 5 ปี ขึ้นไป มีสิทธิได้รับเงินสมทบ 100%
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
การเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเงื่อนไข โดยเมื่อความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง ในส่วนของเงินสะสมจะได้รับการยกเว้นภาษี แต่ในส่วนของผลประโยชน์จากเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากเงินสมทบจะต้องนำไปคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี โดยเงื่อนไขแบ่งเป็น 3 กรณีตามอายุและจำนวนปีที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กรณีที่ 1 ออกจากงานก่อนอายุ 55 ปี และอายุสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพน้อยกว่า 5 ปี
กรณีนี้จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยต้องนำเงินที่ได้ทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ ผลประโยชน์จากเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากเงินสมทบ ไปรวมกับเงินได้อื่นเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามปกติ
ตัวอย่าง
นำส่วนที่ 2+3+4 = 50,000 + 500,000 + 50,000 = 600,000 บาท ไปรวมกับเงินได้อื่นในปีนั้นเพื่อคำนวณภาษี
กรณีที่ 2 ออกจากงานก่อนอายุ 55 ปี และอายุสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
สามารถเลือกได้ว่า จะนำไปรวมกับรายได้อื่นเพื่อยื่นภาษีหรือจะแยกคำนวณภาษีต่างหาก โดยการแยกคำนวณภาษีจะหักค่าใช้จ่ายแบบพิเศษ มี 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 นำ 7,000 คูณจำนวนปีที่ทำงาน ขณะที่ ส่วนที่ 2 ให้นำเงินได้หักด้วยส่วนที่ 1 เหลือเท่าไหร่ให้คูณ 50% แล้วนำเงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย 2 ส่วนนี้ไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สุทธิขั้นแรก 150,000 บาท)
ตัวอย่าง
สมมติ เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมา 10 ปี เงินที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ได้แก่ ผลประโยชน์จากเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากเงินสมทบ ซึ่งต้องนำไปรวมเพื่อเสียภาษี เท่ากับ 600,000 บาท (ใช้ตัวเลขตัวอย่างเดียวกับกรณีที่ 1)
ค่าใช้จ่ายส่วนที่ 1 : 7,000 x 10 = 70,000 บาท
ค่าใช้จ่ายส่วนที่ 2 : (600,000 – 70,000) x 50% = 265,000 บาท
เงินได้สุทธิ = 600,000 – 70,000 – 265,000 = 265,000 บาท นำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
กรณีที่ 3 : เกษียณอายุ (อายุ 55 ปีขึ้นไป) และอายุสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีทั้งจำนวน
คำแนะนำ
สำหรับผู้ที่ออกจากงานก่อนอายุ 55 ปี (กรณีที่ 1 และกรณีที่ 2) มีทางเลือกให้อีก 3 วิธี เพื่อลงทุนต่อจนกว่าอายุจะครบ 55 ปี เพื่อเข้าเงื่อนไขได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
Checklist วางแผนออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก่อนเกษียณ
สำหรับผู้ที่สนใจ สำรวจเงินออมหรือวางแผนเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้มีเงินออมก้อนโตไว้ใช้ในยามเกษียณ สามารถใช้โปรแกรมคำนวณ “วางแผนเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคเพิ่มเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และวิธีการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวเพื่อเป้าหมายเกษียณได้อย่างมีความสุข สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนเกษียณ สไตล์มนุษย์เงินเดือน” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่