ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เราได้เผชิญกับโรคระบาด COVID-19 ที่เป็นปัญหาลุกลามไปทั่วโลกและได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไม่มากก็น้อย แต่กลับมีอุตสาหกรรมหนึ่งที่สามารถเติบโตได้ดีท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้าที่เกิดจากการหยุดชะงักของระบบ Supply Chain นั่นคือ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งแม้ว่าจะต้องเผชิญกับการขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV อย่างเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) และชิป ก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างน่าประทับใจ โดยในปี 2564 ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า มียอดขายสูงถึง 6.75 ล้านคัน คิดเป็น 2 เท่าของปี 2563 และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องในปี 2565 โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีจำนวนสูงถึง 2 ล้านคัน ซึ่งสูงกว่าทุกไตรมาสในปี 2564 และจากการประมาณการคาดว่า ณ สิ้นปี 2565 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าออกมาวิ่งบนท้องถนน จำนวน 16.5 ล้านคันหรือเป็น 3 เท่าของปี 2562
ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้คนเริ่มหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
แน่นอนว่า ปัจจัยหนึ่งคือการที่ผู้คนเริ่มหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น รวมถึงการที่รัฐบาลหลายแห่งทั่วโลกให้การสนับสนุนประชาชนให้หันมาใช้พลังงานสะอาดทดแทนการใช้พลังงานดั้งเดิม เช่น สหภาพยุโรปได้มีการเสนอให้ยกเลิกการจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2578 หรือแม้กระทั่งจีนเองก็มีแผนที่จะยกเลิกการใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปี 2593 และยังได้มีการให้เงินสนับสนุนในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า จึงส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศจีนเป็นที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น
ปัจจัยที่สอง ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ การพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระยะไกลหลายร้อยกิโลเมตรด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว หรือระบบขับขี่อัตโนมัติที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่ และอาจจะทำให้การขับขี่รถยนต์ด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ตกยุคในไม่ช้า เป็นต้น
Tesla ผู้นำในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโลก
ความจริงแล้วรถยนต์ไฟฟ้า ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 2433 แต่กระแสแผ่วไปเรื่อย ๆ เนื่องจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ยังไม่รองรับ จนกระทั่งปี 2551 บริษัท เทสล่า อิงค์ (Tesla Inc.) ได้ทำการปฏิวัติวงการรถยนต์ไปตลอดกาล ด้วยการเปิดตัว “Tesla Roaster” รถยนต์ไฟฟ้าคันแรกที่ใช้แบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออน วิ่งได้ไกลถึง 320 กิโลเมตรด้วยการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียว ในขณะที่ค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจและมุ่งมั่นอยู่กับการผลิตรถยนต์แบบ Hybrid อยู่
จากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน บริษัท เทสล่า อิงค์ (Tesla Inc.) ก็ยังมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการยอมรับในฐานะการเป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโลก นอกเหนือจากความโดดเด่นของอุปกรณ์ในรถยนต์เทสล่า ซึ่งทางบริษัทเป็นผู้ผลิตเอง เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และอุปกรณ์ชาร์จไฟ เป็นต้น อีกหนึ่งจุดเด่นในรถยนต์ของเทสล่า คือ ซอฟต์แวร์ ที่ทางบริษัทเป็นผู้พัฒนาเอง ซึ่งไม่ใช่มีหน้าที่เพียงให้ความบันเทิงหรือควบคุมความสะดวกสบายภายในรถเท่านั้น แต่ยังควบคุมการทำงานระหว่างอุปกรณ์ภายในรถให้มีความสอดคล้องและมีประสิทธิภาพอีกด้วย ซึ่งปัจจัยนี้ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในเรื่อง Supply Chain เนื่องจากสามารถที่จะปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ให้มีความเหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ใช้ได้ แทนที่จะต้องรอพึ่งพา Supplier เพียงอย่างเดียวเหมือนค่ายรถยนต์อื่น ๆ นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ในรถยนต์เทสล่ายังสามารถที่จะทำการอัพเดท (Update) เป็นประจำผ่านทาง Wi-Fi ได้ โดยบริการนี้รู้จักกันในชื่อ “over-the-air” (OTA) และยังเป็นช่องทางที่บริษัทสามารถเสนอบริการเสริมอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น ระบบการขับขี่อัตโนมัติ การเพิ่มระยะการเดินทาง เป็นต้น
นอกเหนือจากตัวรถแล้ว จุดเสริมที่ทำให้คนนิยมใช้รถยนต์เทสล่าในสหรัฐฯ คือการมีเครือข่าย Supercharger ที่เยอะ และครอบคลุมทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป รวมทั้งในประเทศจีน ก็ได้มีการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วกว่า 1,200 สถานี โดยการชาร์จไฟฟ้าผ่าน Supercharger เพียง 15 นาที ก็สามารถขับเคลื่อนได้ไกลถึง 320 กิโลเมตร ซึ่งการมีโครงข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าที่เพียงพอ จะช่วยทำให้คนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้านั้นมั่นใจได้ว่า จะสามารถหาจุดชาร์จไฟฟ้าได้แน่นอนเมื่ออยู่ระหว่างการเดินทาง
การเติบโตของ Tesla
ในส่วนของภาพรวมตลาดของเทสล่า นั้น ในปี 2564 เทสล่าครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ทั่วโลกเป็นอันดับ 1 ที่ 14% โดยอันดับ 2 เป็นของ Volkswagen Group ที่ 11% และอันดับ 3 คือ BYD ครองส่วนแบ่งอยู่ 9% โดยตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของเทสล่าอ้างอิงจากรายได้ ยังคงเป็นตลาดสหรัฐฯ ที่ 44% รองลงมาคือ จีนที่ 26% ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวมาจาก 2 – 3 ปีที่ผ่านมาเทสล่า สามารถที่จะส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
โดยยอดส่งมอบที่สูงขึ้น เป็นผลมาจากการที่เทสล่าสามารถแก้ไขปัญหาการผลิตและสามารถเพิ่มกำลังการผลิตด้วยการขยายโรงงานในช่วง 2 – 3 ปีนี้ ซึ่งผลก็ได้สะท้อนอยู่ในกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้น โดยกำไรสุทธิเติบโตจาก 690 ล้านเหรียญ ในปี 2563 เป็น 5,519 ล้านเหรียญ ในปี 2564
โดยทางเทสล่า ได้ทำการเปิดเผยว่า ทางบริษัทมีเป้าหมายที่จะพยายามให้ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้นปีละ 50% และยังประกาศอีกว่าภายในปี 2566 เทสล่าจะเริ่มทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารูปแบบใหม่ เพื่อขยายตลาดนอกเหนือจากรถโมเดลเดิมที่ได้ทำการผลิตอยู่ในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดของแผน 2 ปี ดังนี้
ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจว่าอนาคตของบริษัท เทสล่า อิงค์ นั้นจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้ามาแข่งขันในตลาดที่บริษัทไม่เคยทำมาก่อนและการพัฒนาระบบไร้คนขับในระดับที่ไม่ต้องอาศัยคนควบคุม ซึ่งแน่นอนว่าถ้าทำได้ บริษัทก็จะสามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดไปอีกขั้นเลยทีเดียว
โอกาสลงทุนหุ้น Tesla ผ่านตลาดหุ้นไทย
ปัจจุบัน นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ผ่านการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่ซื้อขายบนกระดานตลาดหุ้นไทย เช่น DRx (Fractional DR) ซึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยผู้ออก DRx จะเป็นคนไปซื้อหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาทอีกต่อหนึ่ง ซึ่งผู้ถือ DRx จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เสมือนลงทุนหุ้นหรือหน่วยลงทุนต่างประเทศโดยตรง
ล่าสุด ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ออกตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศของบริษัท เทสล่า อิงค์ (Tesla Inc.) หรือ DRx ของหุ้น Tesla มีสัญลักษณ์ซื้อขาย คือ TSLA80X เพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้น Tesla ได้บนกระดานตลาดหุ้นไทย ซึ่งมีข้อดีคือ ไม่ต้องยุ่งยากในการไปลงทุนหุ้น Tesla ในต่างประเทศโดยตรง มีเงินน้อยก็ลงทุนได้ เนื่องจาก DRx สามารถลงทุนขั้นต่ำโดยเริ่มต้นที่ 0.0001 หน่วยเท่านั้น และสามารถเลือกซื้อขายเป็นจำนวนเงินบาท หรือ จำนวนหน่วยของ DRx ก็ได้
นอกจากนี้ ยังสามารถซื้อขายตามเวลาทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งจะเปิดซื้อขายในเวลา 2 ทุ่มถึงตี 4 ของวันถัดไป ทำให้การเคลื่อนไหวของราคา DRx จะสอดคล้องกับหุ้น Tesla ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) สหรัฐอเมริกา โดยนักลงทุนสามารถซื้อขาย DRx ได้อย่างสะดวกผ่านแอปพลิเคชัน Streaming เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้น เพียงแค่เปิดบัญชี DRx ซึ่งเป็นบัญชีย่อยภายใต้บัญชีซื้อขายหุ้นเพิ่มเติม หรือนักลงทุนที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นอยู่แล้วสามารถขอเปิดบัญชี DRx ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน Streaming ได้
นักลงทุนที่สนใจ สามารถดูรายละเอียด DRx ของหุ้น Tesla เพิ่มเติมได้ที่ >> คลิกที่นี่
อย่างไรก็ตาม ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ เช่น ลักษณะธุรกิจของหุ้นที่จะลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อที่จะลงทุนได้อย่างมั่นใจและช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ ลงทุนต่างประเทศ ผ่านตลาดหุ้นไทย สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “มือใหม่หัดลงทุนต่างประเทศ” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่