“เงินก้อนสุดท้ายหลังเกษียณ ควรจะเอาไปลงทุนในทางเลือกไหน?”
หลายคนที่เริ่มใช้ชีวิตหลังเกษียณ คงกำลังมองหาหรือทบทวนการแผนการลงทุนอีกครั้ง เพราะมีเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาจากการเก็บออม (ไม่ว่าจะเป็นเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือเงินบำเหน็จ) ที่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ เพื่อรักษา “มูลค่า” ของเงินก้อนนี้เอาไว้
ถ้าอย่างนั้น หากเรารู้วิธีการขยายดอกผลที่เหมาะสมในทางเลือกการลงทุนต่างๆ ที่อาจจะเสี่ยงน้อยเสี่ยงมากคละกันไป เงินก้อนนี้ยังสามารถออกดอกออกผลมาเป็นรายได้ ทดแทนรายได้ประจำที่หายไปเมื่อถึงวันเกษียณ หรือเมื่อถึงวันที่ไม่มีแรงหารายได้ได้อีกด้วย ลองพิจารณา “5 ทางเลือกการลงทุนสำหรับวัยเกษียณ” ไว้เป็นตัวช่วยต่อยอดเงินออมให้เรา
ถือเป็นวิธีที่คนวัยเกษียณส่วนใหญ่นิยมมากที่สุด เพราะง่ายและมีความปลอดภัยสูง ซึ่งปัจจุบันการฝากเงินจะได้รับดอกเบี้ย ประมาณ 0.5 - 3% (กรณีที่มากกว่า 3% อาจเป็นแพ็คคู่กับประกันชีวิต) จึงเหมาะกับคนที่มีเงินก้อนใหญ่ เช่น คนที่ได้เงินบำเหน็จหรือเงินชดเชยการทำงานเป็นจำนวนที่สูง
ถ้าต้องการเงินใช้จ่ายต่อเดือน 5,000 บาทหรือปีละ 60,000 บาท หากเปิดบัญชีฝากประจำได้รับดอกเบี้ย 3% ต่อปี ดังนั้น เราก็ต้องมีเงินฝากอย่างน้อย 2 ล้านบาทขึ้นไป จึงจะได้รับดอกเบี้ยเป็นเงินใช้จ่ายรายเดือนตามที่หวังไว้
ที่บอกว่าต้องฝากอย่างน้อย 2 ล้านบาทขึ้นไป ก็เพราะว่าดอกเบี้ยเงินฝากนั้นจะเสียภาษีด้วย แต่หากเรามีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ ดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทที่มีระยะเวลาการฝากตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป รวมกันแล้วไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ส่วนที่เกิน 30,000 บาท ก็ยังต้องเสียภาษีในอัตรา 15% ทำให้ดอกเบี้ยที่จะได้รับจริงไม่ถึง 60,000 บาทนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันธนาคารส่วนใหญ่มีผลิตภัณฑ์ที่เป็น “เงินฝากประจำแบบปลอดภาษี” ไว้อยู่แล้ว เราจึงสามารถฝากเงินได้จนถึงเกณฑ์เงินต้นสูงสุดที่จะไม่ทำให้ดอกเบี้ยต้องเสียภาษีนั่นเอง
2. ซื้อสลากออมสินและสลาก ธ.ก.ส.
เงินออมในรูปแบบนี้คล้ายกับการฝากประจำ เพราะมีกำหนดระยะฝากแน่นอน เช่น 3 ปี หรือ 5 ปี และจะได้รับดอกเบี้ยแบบเดียวกับการฝากเงิน โดยที่ดอกเบี้ยก็ไม่ได้สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากมากนัก (ประมาณ 1.5 – 1.75% ต่อปี) แต่ก็น่าสนใจสำหรับคนที่หวังว่าจะ “โชคดี” เพราะว่าจะได้ลุ้นรางวัลทุกเดือนเป็นของแถมและไม่ต้องเสียภาษี ถ้าโชคเข้าข้างก็มีสิทธิถูกรางวัลเลขท้ายคล้ายกับถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล และถ้าโชคดีสุดๆ ก็มีโอกาสถูกรางวัลใหญ่ ที่แม้ว่าโอกาสดวงดีจะมีอยู่น้อยมาก แต่การเสี่ยงดวงด้วยสลากออมสิน กับ สลาก ธ.ก.ส. น่าจะดีกว่าไปเสี่ยงดวงในแบบอื่นๆ เพราะอย่างน้อย “เงินต้น” ของเราก็ไม่ได้หายไปไหน แถมเผลอๆ อาจเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ได้ลุ้นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ในช่วงวัยเดียวกันก็ได้
3. ซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้
เมื่อเรานำเงินไปซื้อตราสารหนี้ ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล (รัฐบาลเป็นผู้ออก) หรือหุ้นกู้ (บริษัทเอกชนเป็นผู้ออก) เราจะกลายเป็นเจ้าหนี้และจะได้รับดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทน เพราะฉะนั้นการลงทุนในตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่แน่นอนและสม่ำเสมอ ตามอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาที่กำหนดไว้ (ประมาณ 3 - 5% ต่อปี) จึงเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยชอบความเสี่ยง และอยากได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก เพื่อให้เงินออมได้มีโอกาสเติบโตบ้าง
เช่นเดียวกับการฝากธนาคาร เมื่อได้รับดอกเบี้ยหรือได้กำไรจากการขายตราสารหนี้ จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ยกเว้น ดอกเบี้ยพันธบัตรหรือหุ้นกู้ของรัฐบาล องค์การของรัฐบาล หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
4. ลงทุนในกองทุนรวม
เป็นการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่เหมาะกับคนวัยเกษียณ เพราะเราสามารถลงทุนในหุ้นหรือหุ้นกู้ได้หลายตัวพร้อมๆ กัน ตามนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน ทำให้โดยรวมแล้วจะได้รับผลตอบแทนค่อนข้างดีเลยทีเดียว แถมในปัจจุบันก็มีกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่เหมาะกับคนวัยเกษียณโดยเฉพาะ ออกขายแก่ประชาชนมากขึ้นแล้ว
นอกจากนี้ เรายังเบาใจได้ว่า กองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนซึ่งถือว่าเป็น “มืออาชีพ” ด้านการลงทุนมาคอยศึกษาให้ว่า หุ้นตัวไหนดี ตราสารหนี้อะไรที่น่าสนใจ คอยติดตามสถานการณ์ลงทุนให้ และคอยซื้อขายเพื่อทำกำไรเมื่อมีจังหวะดี แถมถ้าเราได้รับกำไรจากการขายกองทุนรวมก็ได้รับการยกเว้นภาษีด้วย แต่กรณีที่ได้เงินปันผลก็ยังต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% นะ
5. ลงทุนในหุ้น
ตลาดหุ้นยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่วัยเกษียณยังสามารถลงทุนได้ หากมีสัดส่วนการลงทุนที่ไม่มากเกินไป เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากลงทุนในระยะยาว และแม้จะมีหุ้นหลากหลายประเภทที่น่าสนใจ แต่เราก็ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มั่นคง ราคาไม่เปลี่ยนแปลงแบบหวือหวา เพราะอาจทำให้เงินก้อนสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณของเราลดน้อยลง
เช่นเดียวกับกองทุนรวม กำไรจากการขายหุ้นจะได้รับยกเว้นภาษี แต่เงินปันผลจะต้องเสียภาษี โดยเรามีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ก็คือ
1. ยอมถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% และเลือกไม่นำมารวมคำนวณภาษีเงินได้
2. นำมารวมคำนวณภาษีเงินได้ โดยได้รับสิทธิใช้ “เครดิตภาษีเงินปันผล”
เมื่อรู้จักทางเลือกการลงทุนประเภทต่างๆ แล้ว วัยเก๋าอย่างเราก็อย่าพึ่ง “ใจร้อน” เพราะการลงทุนที่ดีและมีโอกาสประสบความสำเร็จ มันต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ด้วย “การบริหารพอร์ตการลงทุน” หรือการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนโดยรวมด้วยนั่นเอง
สำหรับใครที่สนใจอยากทำความเข้าใจทางเลือกลงทุนต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน และอยากรู้เทคนิคบริหารเงินหลังเกษียณให้พอใช้ไปตลอดชีวิต สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนการเงินหลังเกษียณ สไตล์วัยเก๋า” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่