ท่ามกลางภาวะตลาดที่ผันผวน การลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ซึ่งการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ ถือเป็นทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
วันนี้เราจึงได้สรุปมุมมอง พร้อมเทรนด์การลงทุนที่น่าสนใจ จากวิทยากรแถวหน้าที่มากด้วยประสบการณ์ด้านการเงินและการลงทุนของเมืองไทย จากงาน SET in the City 2021 มาฝากกัน
การลงทุนในยุคปัจจุบันเป็นโลกไร้พรมแดน ทำให้นักลงทุนมีโอกาสที่มากขึ้นกับการลงทุนในตลาดต่างประเทศ ซึ่งในตลาดหุ้นทั่วโลกจะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยูู่กับปัจจจัยพื้นฐานของประเทศ หุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดนั้น ๆ เพราะฉะนั้น การกระจายลงทุนไปต่างประเทศ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้พอร์ตการลงทุนของเราสร้างผลตอบแทนมากขึ้น
ในช่วงหลัง COVID-19 กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี (Tech) และสุขภาพ (Health) มีการเติบโตโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งในประเทศที่มี 2 อุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างเยอะ ก็ส่งผลให้ผลตอบแทนดัชนีรวมโตตามไปด้วย แต่ในตลาดหุ้นไทยยังมีอุตสาหกรรมนี้เป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
ทำให้หลายคนเริ่มคิดจะกระจายเงินลงทุนบางส่วนในพอร์ตไปต่างประเทศ ซึ่งจากข้อมูลก็จะเห็นเลยว่ามูลค่าเงินลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อย เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2015 - 2020)
ปัจจุบันทางเลือกลงทุนต่างประเทศของคนไทยมีหลากหลายช่องทาง ได้แก่ 1.) กองทุนรวมในไทยที่มีการลงทุนในต่างประเทศ 2.) ลงทุนโดยตรงในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และ 3.) ลงทุนในหลักทรัพย์ไทยที่มี Exposure ต่างประเทศ ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมือนการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นไทย แต่เป็นมีความเชื่อมโยงกับสินทรัพย์หรือดัชนีต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า Global Linked Products
สำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ไทยที่มี Exposure ผูกกับต่างประเทศ ปัจจุบันมีให้เลือก 3 ช่องทาง
ทั้งหมดนี้ก็เป็นทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทย สร้างโอกาสรับการเติบโต และเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุน
กองทุนรวมต่างประเทศมีการเติบโตสูงมากอย่างมีนัยะสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนมองเห็นแล้วว่าการกระจายการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ และมีโอกาสที่รออยู่ตรงนั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดจากตัวเลขผลตอบแทนของกองทุนรวมต่างประเทศ โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมาที่เกิดวิกฤตโควิด-19
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญคือนักลงทุนต้องเข้าใจการลงทุน เพราะหากไม่เข้าใจดีพอ หากเกิดอะไรขึ้นในระยะสั้น ก็จะทนถือต่อไม่ไหว ซึ่งเป็น Pain Point ของนักลงทุนมือใหม่ เราจึงต้องการให้รายย่อยเข้าถึงข้อมูลและเข้าใจเรื่องการลงทุนมากยิ่งขึ้น เพราะการลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงเยอะขึ้น ทั้งการเลือกให้ถูกธีมการลงทุน ความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน และสภาวะเศรษฐกิจโลก เป็นต้น
สุดท้ายต้องว่าปัจจุบันโลกของเราไร้พรมแดน ข่าวสารข้อมูล Flow เร็วมาก นาทีต่อนาที เพราะฉะนั้นผลกระทบก็เร็วขึ้นมากเช่นกัน หมายความว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุนนั้นมีตลอดเวลา จึงอยากให้นักลงทุนเลือกที่จะอยู่กับความเสี่ยงให้ได้ เพราะหากเรากลัวความเสี่ยง และยืนยันที่จะไม่ลงทุน ก็ต้องถามตัวเองกลับว่าเราจะอยู่ได้ไหมเมื่อดอกเบี้ยเงินฝากลดลงตลอดเวลา และเราจะดูแลตัวเองได้อย่างไรหากไม่หัดที่จะเข้าใจการลงทุน
โอกาสของการลงทุนต่างประเทศ คือ มีกลุ่มอุตสาหกรรมที่โตได้ดีอย่างชัดเจน เช่น เทคโนโลยี หรือ ธีม ESG ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลังของสินทรัพย์ทั่วโลก จะเห็นว่าตลาดต่างประเทศสามารถสร้างโอกาสเติบโตได้ดีกว่าหุ้นไทย
โดยผลตอบแทนเฉลี่ยระหว่างปี 2004 -2020 (CAGR) ของ SET Index อยู่ที่ 8.1% ต่อปี ขณะที่ NASDAQ 100 สูงถึง 15.9% CSI 300 อยู่ที่ 10.4% หรือแม้แต่ VNINDEX Index อยู่ที่ 10.5% นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนด้วยการสินทรัพย์ต่างประเทศ
สำหรับผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างประเทศนั้นมีให้เลือกทั้ง กองทุนรวม FIF, กองทุน ETF, DW, DR และการลงทุนตรงต่างประเทศ ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับเป้าหมายของตัวเอง
เริ่มกันที่กองทุนรวมต่างประเทศ FIF ข้อดีคือลงทุนง่าย มีให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับคนไม่มีเวลา มีมืออาชีพคอยดูแลให้ แต่มีข้อจำกัดเรื่องราคาซื้อขายตาม NAV ที่ไม่ใช่ราคา Real-Time ส่วน ETF ในปัจจุบันยังมีให้เลือกน้อย แต่น่าสนใจตรงที่ซื้อขาย Real-Time ได้เลยผ่านกระดานหุ้น ค่อนข้างสะดวกรวดเร็ว
ขณะที่ DW เป็นตราสารที่เหมาะกับการเก็งกำไร คนที่จะลงทุนต้องมีความเข้าใจลักษณะของสินทรัพย์ให้ดี ส่วน DR เหมือนยกหุ้นต่างประเทศมาอยู่ในตลาดหุ้นไทย ได้ราคา Real-Time เทรดได้เลยผ่านกระดานหุ้น
ทางเลือกสุดท้าย การไปลงทุนตรงในต่างประเทศ จุดเด่นของการลงทุนแบบนี้คือมีให้ลงทุนหลากหลายตามจำนวนหลักทรัพย์ในต่างประเทศเลย ทั้งหุ้นรายตัว หรือ ETF แต่จะต้องทำการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศกับ บล. ที่ให้บริการ และโอนเงินออกไปต่างประเทศเพื่อลงทุนตามเวลาตลาดหุ้นนั้น ๆ
สำหรับเทรนด์ลงทุนที่น่าจับตามอง แนะนำเป็น Global Trends ที่เรียกว่า D E A L ประกอบด้วย D: Digitalization, E: Environmental Protection, A: Aging Society และ L: Low Interest Rate ซึ่งอยากให้เริ่มต้นมองในเมืองไทยก่อนว่าหุ้นที่ตอบโจทย์เทรนด์แบบนี้หรือเปล่า หากไม่มีก็ค่อยขยับไปต่างประเทศ
“แนวคิดการลงทุนเปลี่ยนไป
หลายคนมองเห็นแล้วว่าการลงทุนในต่างประเทศเป็นโอกาสมากกว่าความเสี่ยง”
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย)
หากใครติดตามการลงทุนมาตลอด คงเห็นแล้วว่ามีโอกาสการลงทุนในต่างประเทศรออยู่ เพียงแต่ว่าสมัยก่อนมีข้อกัดเรื่องกฎระเบียบ ทำให้การไปลงทุนนั้นยากลำบาก ทว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงใน 3D ได้แก่
Deglobalization เป้าหมายของประเทศทั่วโลกเปลี่ยนไป ความเสี่ยงการเมืองสูงขึ้น Decentralization นักลงทุนได้ลองการลงทุนที่หลากหลาย ไม่ยึดติดกับสินทรัพย์เดิม ๆ อีกต่อไป Disruption เทคโนโลยีก้าวกระโดด คาบเกี่ยวหลายอุตสาหกรรม ใครไม่เปลี่ยนอาจไม่ได้ไปต่อ
ขณะเดียวกันเมื่อโลกไร้พรมแดน ตลาดทุนก็ก้าวกระโดด แนวคิดการลงทุนหลังวิกฤตโควิดเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุน รวมถึงแนวคิดเรื่องการผสมสัดส่วนการลงทุน ผสมอุตสาหกรรมไปทั่วโลก ซึ่งเมื่อหลาย ๆ อย่างมารวมกัน ทำให้นักลงทุนมองเห็นว่าการลงทุนในต่างประเทศเป็นโอกาสมากกว่าความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำให้เริ่มต้นลงทุนจากกองทุนเป็นหลักก่อน เพราะอยากให้เป็นนักลงทุน ไม่ใช่นักเก็งกำไร เนื่องจากกองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนคอยแนะนำให้เราปรับการลงทุนอยู่เสมอ แต่ ETF, DR หรือ หุ้นรายตัว เราต้องเป็นคนหาข้อมูลเองทั้งหมด จึงไม่ค่อยเหมาะหากยังมีความรู้ไม่พร้อม
สำหรับธีมการลงทุน ปี 2022 เราแบ่งออกเป็นระยะสั้น 3 เดือน-12 เดือน แนะนำธีม Inflation Tiger เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่มุมองระยะยาว 6-12 ปี เรามองถึงธีมลงทุนแห่งอนาคตอย่าง Greenflation Tiger ที่ประกอบด้วย Genomic, Robotic, Cloud, Renewable Energy, Blockchain และ Online Gaming
สุดท้ายต้องบอกว่าการลงทุนต่างประเทศมีรูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้น สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนจะต้องเปลี่ยนก็คือวิธีการมองสินทรัพย์ สมัยก่อนเราอาจจะบอกว่าเป็น Value Investor เศรษฐกิจไหนโต หุ้นตัวไหนถูก ก็วิ่งเข้าไปซื้อ แต่เมื่อโอกาสมากขึ้น ต้องแข่งขันมากขึ้น เราคงมองแค่ Valuation เพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมองทั้งเรื่องเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมประกอบกันด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นไฮไลท์สำคัญของงาน SET in The City 20210 ใน Session เทรนด์ลงทุน เมื่อตลาดหุ้นไร้พรมแดน สำหรับนักลงทุนที่อยากกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการหาโอกาสในตลาดหุ้นไทยด้วย สามารถติดตามข้อมูลบทวิเคราะห์หุ้นรายตัวจากโครงการจัดทำบทวิเคราะห์สำหรับผู้ลงทุน คลิกที่นี่