3 ทางเลือกลงทุนต่างประเทศ ผ่านตลาดหุ้นไทย

โดย นารินทิพย์ ท่องสายชล ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3 Min Read
30 กันยายน 2565
15.488k views
Inv_3ทางเลือกลงทุนต่างประเทศ ผ่านตลาดหุ้นไทย_Thumbnail
Highlights
  • หากอยากลงทุนต่างประเทศเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มทางเลือกในการลงทุน วันนี้สามารถลงทุนได้แล้วผ่านตลาดหุ้นไทย ซึ่งสามารถซื้อขายเป็นเงินบาท และไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่

  • นักลงทุนสามารถลงทุนต่างประเทศ ด้วย ETF / DW / DR & DRx ซึ่งสามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้ทั้งฝั่งเอเชียและอเมริกา เช่น Alibaba, Tencent, Xiaomi, BYD, Apple และ Tesla หรือซื้อขายดัชนีต่างประเทศ เช่น Dow Jones Index, S&P 500 Index และ Hang Seng Index ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ท่ามกลางความผันผวนที่มากขึ้น ประกอบกับปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามาในโลกของการลงทุน ทำให้การลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่ง อย่างการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างกระจุกตัวและก็อาจจะพลาดโอกาสจากการหาผลตอบแทนจากตลาดอื่น ๆ หรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ ในต่างประเทศ

 

อย่างเช่น ตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบัน มีหุ้นประมาณ 790 ตัว แต่ถ้าขึ้นไปที่จีน ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (SZSE) มีหุ้นประมาณ 2,687 ตัว หรือหากข้ามฝั่งไปสหรัฐฯ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) มีหุ้นประมาณ 2,584 ตัว (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ก.ย. 65) จะเห็นได้ว่าหุ้นในต่างประเทศมีให้เลือกเยอะกว่าหุ้นไทย การลงทุนในต่างประเทศจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับเรา มีตัวเลือกให้ลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้ หากมองในแง่ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยได้ผ่านช่วงที่เศรษฐกิจมีขนาดการเติบโตสูงสุดมาแล้ว เพราะฉะนั้นการที่นักลงทุนจะหาประเทศที่เศรษฐกิจมีการเติบโตสูงและบริษัทจดทะเบียนในประเทศนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้มาก บางครั้งก็ต้องออกไปหาบริษัทนอกประเทศที่มีการเติบโตที่สูงกว่า

 

โดยปัจจุบัน นักลงทุนไทยมีโอกาสลงทุนต่างประเทศในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

  1. ลงทุนผ่านตลาดหุ้นในต่างประเทศโดยตรง โดยการเปิดบัญชีเทรดหุ้นแบบ Offshore กับโบรกเกอร์ไทย
  2. ลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า กองทุน FIF (Foreign Investment Fund : FIF) ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ โดยผู้จัดการกองทุนจะนำเงินของนักลงทุนไปลงทุนในต่างประเทศและให้ผลตอบแทนกลับมาเป็นเงินบาท
  3. ลงทุนผ่านตลาดหุ้นไทย โดยลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับผลตอบแทนในต่างประเทศ ได้แก่ ETF / DW และ DR & DRx

 

ซึ่งการที่นักลงทุนไปลงทุนในต่างประเทศเองนั้น อาจต้องเจอความซับซ้อนเพิ่มขึ้น เช่น ต้องเปิดบัญชีลงทุน ต้องแลกเงินเป็นสกุลเงินต่างประเทศ และอาจมีเงินลงทุนขั้นต่ำที่ไม่น้อย รวมถึงอาจไม่เห็นข้อมูลที่ชัดเจน หรือข้อมูลที่ชัดเจนมาก ก็เป็นข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศ เป็นต้น ดังนั้น วันนี้จะพานักลงทุนมาทำความรู้จักกับรูปแบบการลงทุนต่างประเทศ ผ่านตลาดหุ้นไทยผ่านสิ่งที่เรียกว่า ETF / DW และ DR & DRx

Inv_3ทางเลือกลงทุนต่างประเทศ ผ่านตลาดหุ้นไทย_01
1. ETF (Exchange Traded Fund)

เป็นกองทุนที่สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง โดยมีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีหรือราคาสินทรัพย์ที่กองทุนใช้อ้างอิง ซึ่งมีหลากหลายประเภท ทั้งดัชนีราคาหุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ หุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรม รวมไปถึงดัชนีตราสารหนี้ และทองคำ

 

โดยความพิเศษของ ETF คือ การนำเอาจุดเด่นของหุ้นและกองทุนรวมมาไว้ด้วยกัน กล่าวคือลงทุนในกองทุนรวมที่สามารถซื้อขายได้แบบ Real-Time รู้ราคาซื้อขายได้ทันทีเหมือนการซื้อขายหุ้น ไม่ต้องรอลุ้น NAV ตอนสิ้นวันทำการ ซึ่งความแตกต่างระหว่าง ETF กับหุ้น คือ การซื้อหุ้นจะเป็นการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนเพียงบริษัทเดียวเท่านั้น แต่การซื้อ ETF จะเหมือนนำเงินลงทุนของเราไปกระจายซื้อทุกหลักทรัพย์หรือในสินทรัพย์ที่ ETF อ้างอิงตามน้ำหนักของดัชนี เช่น ETF ที่อ้างอิงดัชนี SET50 ก็จะซื้อหุ้นทั้ง 50 ตัวในสัดส่วนเดียวกับที่อยู่ในดัชนี SET50 เพื่อให้ได้อัตราผลตอบแทนเท่ากับหรือใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด จึงทำให้ ETF เป็นเครื่องมือช่วยกระจายความเสี่ยงที่ต้นทุนต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการถือระยะยาว

 

ปัจจุบัน ETF ในประเทศไทยมีอ้างอิงทั้งดัชนีในประเทศและดัชนีต่างประเทศ รวมถึงตราสารหนี้และทองคำ โดยหากนักลงทุนคิดว่าหุ้นจีนจะเติบโตก็สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม ETF CHINA ที่อ้างอิงดัชนี CSI 300 หรือหากสนใจลงทุนตามธีม (Thematic) เช่น Robotics หรือ AI ก็สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม ETF UBOT ได้ เป็นต้น ดูรายละเอียดกองทุนรวม ETF เพิ่มเติมได้ที่ >> คลิกที่นี่

 

2. DW (Derivative Warrants)

เป็นเครื่องมือทางการเงินประเภทหนึ่งที่มีความยืดหยุ่นสูงและซื้อขายเสมือนหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยนักลงทุนสามารถใช้ DW สร้างโอกาสทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง หรือใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงทางด้านราคาเพื่อบริหารพอร์ตลงทุนได้อีกด้วย

 

โดย DW สามารถอ้างอิงกับหลักทรัพย์ ได้แก่ ดัชนีหุ้นไทย หุ้นไทย ดัชนีหุ้นต่างประเทศ และหุ้นต่างประเทศ ซึ่งผู้ออก DW จะให้สิทธิในการซื้อ (Call DW) หรือสิทธิในการขาย (Put DW) หุ้นหรือดัชนีอ้างอิงในอนาคต ตามราคาใช้สิทธิ อัตราการใช้สิทธิ และเวลาที่กำหนดไว้

 

ปัจจุบัน DW ที่มีให้ซื้อขายในตลาดหุ้นไทย มีทั้งอ้างอิงหุ้นรายตัวต่างประเทศ เช่น Alibaba, Tencent, Meituan, Xiaomi และ Great Wall Motor เป็นต้น หรืออ้างอิงดัชนีหุ้นต่างประเทศ เช่น Dow Jones Index, S&P 500 Index และ Hang Seng Index เป็นต้น ถ้านักลงทุนชอบความผันผวนของหุ้นรายตัวต่างประเทศ หรือดัชนีก็สามารถลงทุนผ่าน DW ได้ ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการผลตอบแทนที่คาดหวังสูงกว่าการลงทุนในหุ้นโดยตรง ซึ่งผลตอบแทนคาดหวังที่สูงขึ้น ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย ดังนั้น จึงต้องมีเงินทุนที่พร้อมจะรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น มีการบริหารจัดการเงินที่ดี และต้องมีเวลาในการติดตามสถานการณ์ของตลาดอย่างใกล้ชิด

 

นักลงทุนที่สนใจ ดูรายละเอียดของ DW เพิ่มเติมได้ที่ >> คลิกที่นี่

 

3. DR & DRx (Depositary Receipt and Fractional DR)

DR คือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ถูกออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้น / ETF / REIT และ Infrastructure Trust ในต่างประเทศได้ ผ่านการซื้อขาย DR ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยผู้ออก DR ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. จะเป็นคนไปซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น หุ้นหรือ ETF ต่างประเทศ แล้วนำมาเสนอขายให้กับนักลงทุนไทยในรูปสกุลเงินบาท ซึ่งผู้ถือ DR จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เหมือนกับการไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ต่างประเทศโดยตรง

 

ดังนั้น ผู้ออก DR จึงไม่ใช่บริษัทเจ้าของหลักทรัพย์ในต่างประเทศ แต่จะทำหน้าที่เป็นผู้ถือหลักทรัพย์ต่างประเทศแทนนักลงทุนไทย ส่วนนักลงทุนที่ถือครอง DR ก็เปรียบเสมือนถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่านใบ DR ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน เนื่องจากซื้อขายด้วยเงินบาท ใช้บัญชีเดียวกันกับการซื้อขายหุ้นไทย เหมือนการซื้อขายหุ้นทั่วไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกัน คือ Board Lot ของ DR จะซื้อขายได้สะดวกกว่าหุ้นทั่วไป เพราะ DR นั้นซื้อขายขั้นต่ำได้ครั้งละ 1 DR ขณะที่หุ้นทั่วไปจะซื้อขายกันขั้นต่ำที่ Board Lot ละ 100 หุ้น

 

ปัจจุบัน DR ที่มีให้ซื้อขายในตลาดหุ้นไทย มีทั้งที่อ้างอิงกับหุ้นต่างประเทศ เช่น Alibaba, Tencent, Xiaomi และ BYD ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และอ้างอิงกับ ETF ที่ลงทุนในดัชนีหุ้นของเวียดนาม จีน และสหรัฐอเมริกา

 

นักลงทุนที่สนใจ ดูรายละเอียดของ DR เพิ่มเติมได้ที่ >> คลิกที่นี่

 

ส่วน DRx เป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศเหมือนกัน แต่เป็น DR ในเวอร์ชั่นไซซ์เล็ก (Extra Small) ถูกสร้างขึ้นให้มีรายละเอียดและวิธีการซื้อขายที่จะช่วยให้นักลงทุนได้รับความสะดวกสบายในการลงทุนมากขึ้น เช่น DR จะมีการซื้อขายขั้นต่ำที่ 1 หน่วย แต่ DRx จะซื้อขายขั้นต่ำที่ 0.0001 หน่วยเท่านั้น ทำให้นักลงทุนที่มีเงินลงทุนน้อย ก็สามารถลงทุนได้ หรือการชำระราคา DR จะใช้เวลา T+2 ขณะที่ DRx จะชำระราคาแบบ Real-Time เป็นต้น

 

โดยนักลงทุนที่ลงทุนใน DRx จะได้รับผลประโยชน์ เช่น เงินปันผลเสมือนกับการลงทุนในต่างประเทศโดยตรง เช่นเดียวกันกับ DR อีกทั้ง DRx ทำการซื้อขายเป็นสกุลเงินบาทเหมือน DR เช่นกัน อย่างไรก็ตาม DRx มีรายละเอียดการซื้อขายที่แตกต่างจาก DR พอสมควร นักลงทุนควรศึกษาทำความเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ให้ดี เพื่อที่จะลงทุนได้อย่างมั่นใจและช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน

 

ปัจจุบัน DRx ที่มีให้ซื้อขายในตลาดหุ้นไทย อ้างอิงกับหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ หุ้นเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Apple สัญลักษณ์ซื้อขาย AAPL80X และหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคตอย่าง Tesla สัญลักษณ์ซื้อขาย TSLA80X

 

นักลงทุนที่สนใจ ดูรายละเอียดของ DRx เพิ่มเติมได้ที่ >> คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ ลงทุนต่างประเทศ ผ่านตลาดหุ้นไทย สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “มือใหม่หัดลงทุนต่างประเทศ” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

แท็กที่เกี่ยวข้อง: