เคยได้ยินไหมว่า “อย่าฝากทั้งชีวิตไว้กับรายได้ทางเดียว” นั่นจึงทำให้มนุษย์เรามีการหารายได้หลายทางมากขึ้น บริษัทในยุคนี้ก็เช่นเดียวกัน ต้องมีการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เพื่อให้บริษัทยังสามารถอยู่รอดได้ ซึ่ง Holding Company ก็เป็นบริษัทที่มีรายได้หลายทาง จากการถือหุ้นหลาย ๆ บริษัท และในช่วงที่ตลาดผันผวน เศรษฐกิจไม่ค่อยสู้ดีนัก การลงทุนในหุ้น Holding Company ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีความน่าสนใจ จากการที่ถือหุ้นในบริษัทที่หลากหลาย ซึ่งนับว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี และในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับ Holding Company ว่าคืออะไร มีความน่าสนใจ จุดเด่น และวิธีวิเคราะห์อย่างไรบ้าง
Holding Company คือ บริษัทที่ตั้งขึ้นมาโดยมีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลัก ซึ่งอาจจะมีธุรกิจหลักของตัวเอง หรือถือหุ้นในบริษัทอื่นเพียงอย่างเดียวก็ได้ โดย Holding Company ต้องถือหุ้นในบริษัทหลักอย่างน้อย 1 บริษัท อาจเป็นการถือหุ้นในบริษัทลูกที่มักจะถือหุ้นมากกว่า 50% หรือเข้าไปถือหุ้นบริษัทร่วมที่มักจะถือหุ้น 20-50% ก็ได้เช่นกัน
จุดเด่นของหุ้น Holding Company
สำรวจตัวอย่างหุ้น Holding Company ในไทย
Holding Company ในประเทศไทยมีหลายบริษัท จึงขอยกตัวอย่าง Holding Company ที่มี Market Cap. เกิน 30,000 ล้านบาทขึ้นไป ได้แก่
ประกอบธุรกิจด้านการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และดิจิทัล โดยการถือหุ้นและเข้าไปบริหารงาน (Holding Company) สามารถจำแนกออกเป็น 3 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมไร้สาย ธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศ และธุรกิจอื่น ๆ โดยในปี 2565 ไตรมาสแรกมีรายได้รวม 752.59 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,552.24 ล้านบาท
อัตราส่วนการเงินที่สำคัญ : P/E Ratio 21.17 เท่า, Dividend Yield 4.03%
สัดส่วนหุ้นที่ถือ : ADVANC 40.44%, THCOM 41.13%
ประกอบด้วยกิจการที่ ปตท. ดำเนินการเอง ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจที่ลงทุนผ่านบริษัทย่อยและ/หรือกิจการที่ควบคุมร่วมกันและบริษัทร่วม (กลุ่มบริษัท) ได้แก่ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว ธุรกิจปีโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก ธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปการ ธุรกิจถ่านหิน ธุรกิจให้บริการ โดยในปี 2565 ไตรมาสแรกมีรายได้รวม 762,251.89 ล้านบาท กำไรสุทธิ 25,570.94 ล้านบาท
อัตราส่วนการเงินที่สำคัญ : P/E Ratio 9.51 เท่า, Dividend Yield 5.93%
สัดส่วนหุ้นที่ถือ : PTTEP 63.79%, PTTGC 45.18%, TOP 45.03%, IRPC 45.05%, OR 75%, GPSC 42.53%, TIPH 13.46%
ประกอบธุรกิจ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ (1) ธุรกิจระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้าบีทีเอสและรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที) (2) ธุรกิจสื่อโฆษณา (3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ (4) ธุรกิจบริการ โดยในปี 2565 ไตรมาสแรกมีรายได้รวม 31,19.50 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,825.58 ล้านบาท
อัตราส่วนการเงินที่สำคัญ : P/E Ratio 29.60 เท่า, Dividend Yield 3.60%
สัดส่วนหุ้นที่ถือ : VGI 52.15% (บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ถือ 22.49% และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ถือ 29.66%), U 36.22%, PLANB 18.59% (ถือผ่านบริษัท วี จี ไอ จำกัด (มหาชน)), MACO 14.92%
ปัจจุบัน บริษัทมีสถานะเป็นโฮลดิ้ง คอมพานี หรือประกอบธุรกิจลงทุนในธุรกิจอื่น โดยมีธุรกิจหลักของบริษัทคือ จำหน่ายทั้งค้าปลีกและค้าส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่หลักทุกรายและผู้ให้บริการทุกเครือข่ายรวมถึงการขยายธุรกิจเข้าไปในตลาดจัดจำหน่ายกล้องดิจิตอล และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยในปี 2565 ไตรมาสแรกมีรายได้รวม 3,738.31 ล้านบาท กำไรสุทธิ 325.12 ล้านบาท
อัตราส่วนการเงิน : P/E Ratio 9.51 เท่า, Dividend Yield 5.93%
สัดส่วนหุ้นที่ถือ : JMT 53.40%, J 65.53%, SINGER 25.57%
ประกอบธุรกิจการลงทุนในหุ้นบริษัทต่าง ๆ และการพัฒนาสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) ธุรกิจการลงทุนในธุรกิจสินค้าอุปโภค 2) ธุรกิจการลงทุนในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และ 3) ธุรกิจการพัฒนาสวนอุตสาหกรรมและลงทุนในธุรกิจอื่นๆ
อัตราส่วนการเงิน : P/E Ratio 9.51 เท่า, Dividend Yield 5.93%
สัดส่วนหุ้นที่ถือ : SPC 24.98% ,TNL 24.93, ICC 24.81%, WACOAL 23.06%, S&J 20.08%, TPCS 20.03%, TFMAMA 25.98%, PB 21.79%
วิธีการวิเคราะห์หุ้น Holding Company
ก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนในหุ้น Holding Company หัวใจสำคัญในการวิเคราะห์หุ้นประเภทนี้ มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นวิเคราะห์อย่างไร สามารถเริ่มต้นได้ ดังนี้
1. เข้าใจโครงสร้างการลงทุน
Holding Company ของแต่ละบริษัทจะมีการลงทุนบริษัทย่อยในสัดส่วนที่แตกต่างกัน โดยแบ่งโครงสร้างของกลุ่มธุรกิจที่ถืออยู่ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
ซึ่งการทำความเข้าใจในการแบ่งโครงสร้างการลงทุน จะช่วยให้นักลงทุนได้เห็นภาพของธุรกิจนี้ได้ง่ายมากขึ้น ว่ามีสัดส่วนในการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมใด ลงทุนมากน้อยแค่ไหน
2. ประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัท Holding Company
การประเมินมูลค่าของหุ้นประเภทนี้ สามารถหาได้จาก 2 วิธี ดังนี้
การใช้มูลค่าหุ้นมาประเมินมูลค่า เรียกว่า Sum Of The Parts (SOTP) เป็นวิธีการนำมูลค่าของหุ้นบริษัทลูกมารวมกัน โดยเป็นค่าที่บอกว่า หุ้น Holding Company นี้ ควรจะมีมูลค่าเท่าไหร่ ซึ่งมีความใกล้เคียงและมีความแม่นยำกว่า เมื่อเทียบกับวิธีการประเมินมูลค่าแบบอื่น ๆ เนื่องจากวิธีดังกล่าวอิงกับมูลค่าของหุ้นของแต่ละกิจการที่มีการซื้อขายในตลาด
แต่อย่างไรก็ตาม การประเมินมูลค่าด้วยวิธีนี้ นักวิเคราะห์มักจะลดมูลค่าของหุ้นที่บริษัท Holding Company ถืออยู่ประมาณ 20-25% บนสมมติฐานที่ว่า หากบริษัทขายหุ้น จะต้องเสียภาษีนิติบุคคล 20%
วิธีนี้จะเป็นการตั้งสมมติฐานว่าหุ้น Holding Company เป็นหุ้นธรรมดา โดยในสถานการณ์ทั่วไป นักลงทุนมักจะใช้อัตราส่วน P/E Ratio และอัตราส่วนเงินปันผล (Dividend Yield) โดยเริ่มวิเคราะห์จากภาพรวมของงบการเงิน และเจาะไปที่กำไร จากนั้นจึงใช้ P/E Ratio เทียบกับอุตสาหกรรมที่ Holding Company ถูกจัดอยู่ ซึ่งวิธีนี้ สามารถนำไปปรับใช้กับบริษัทลูกที่ Holding Company ถืออยู่ได้ด้วย
3. นโยบายจ่ายเงินปันผล
นอกจากการประเมินมูลค่าหุ้นแล้ว เราจะต้องดูผลประกอบการของบริษัท Holding Company ด้วยว่าเป็นอย่างไร มีนโยบายการจ่ายปันผลหรือไม่ ซึ่งสัญญาณหนึ่งที่ผู้บริหารใช้ในการแก้ปัญหาเวลาหุ้นประเภทนี้มีราคาต่ำเกินไป คือ การทำกำไรจากการขายหุ้นที่ถือ และจ่ายปันผลพิเศษให้ผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้น Holding Company ถือเป็นบริษัทที่มีความซับซ้อน ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติมให้ดีก่อนการลงทุน และสำหรับใครที่ต้องการศึกษาหุ้นในกลุ่ม Holding Company หรือกลุ่มอื่น ๆ เพิ่มเติม พร้อมรับมุมมองจากนักวิเคราะห์หลากหลายบริษัทหลักทรัพย์ สามารถศึกษาได้จากโครงการจัดทำบทวิเคราะห์สำหรับผู้ลงทุน คลิกที่นี่
สุดท้ายนี้หากนักลงทุนสนใจเริ่มต้นลงทุนในหุ้นกลุ่มต่าง ๆ และต้องการข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์เชิงลึก ตลาดหลักทรัพย์ฯ นักลงทุนสามารถสมัครใช้บริการ SETSMART ได้เพียงในราคา 250 บาทต่อเดือน คลิกที่นี่
Disclaimer : ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนที่ปรากฏนี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลในอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นโดยการอิงกับไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Based) หรือกระแส (Trend) ซึ่งรวบรวมมาจากข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่รับรองความถูกต้องครบถ้วน หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลดังกล่าวรวมทั้งไม่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนใด ๆ ในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน และตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายหรือสูญหายจากการนำข้อมูลที่ปรากฏนี้ไปใช้ในทุกกรณี