เป้าหมายชีวิต… พิชิตด้วยกองทุนรวม

ทำไมเราต้องลงทุน?

หลายคนคงเคยฝันว่า จะตั้งใจทำงาน เก็บเงิน ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือเพื่อนำเงินไปทำตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินที่เราหามาได้นั้น อาจไม่สามารถสร้างดอกผลและนำพาเราไปสู่เป้าหมายทางการเงินได้ เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ ทำให้เงินฝากที่เก็บออมไว้กับธนาคารได้ผลตอบแทนน้อย ยิ่งผลตอบแทนน้อย ยิ่งต้องใช้เวลาออมนานขึ้น ดังนั้น โอกาสที่จะบรรลุความฝันหรือเป้าหมายก็จะต้องใช้ระยะเวลานานขึ้นด้วย

และไม่เพียงแต่ภาวะดอกเบี้ยต่ำเท่านั้น หากมองย้อนกลับไปในอดีต จะเห็นได้ว่าระดับราคาข้าวของแพงขึ้นตลอดเวลา เงินเฟ้อทำให้ค่าของเงินลดลง นั่นหมายความว่า เงินออมของเราเท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยลง เราไม่สามารถใช้เงินก้อนเดิมไปซื้อของให้ได้เท่าเดิมอีกต่อไป

ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องรู้และเข้าใจเรื่องการลงทุน เพื่อนำเงินออมที่ได้เก็บหอมรอมริบมาไปต่อยอด “ลงทุน” ในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า สามารถออกดอกออกผล สร้างเงินให้งอกเงยมากยิ่งขึ้น และสามารถทำให้เรามีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้นอีกด้วย

ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการเก็บเงินให้ได้ 1 ล้านบาท โดยเก็บเดือนละ 1,000 บาท ในกรณีที่ฝากเงินไว้กับธนาคาร ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.65% ต่อปี เราต้องใช้เวลาเก็บเงินถึง 52 ปี 6 เดือน จึงจะมีเงินเก็บ 1 ล้านบาท ขณะที่ หากนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น ตราสารหนี้ ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.12% ต่อปี จะต้องเก็บเงิน 32 ปี 6 เดือน จึงจะมีเงินเก็บ 1 ล้านบาท หรือลงทุนในหุ้น ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.96% ต่อปี ต้องใช้เวลาเก็บเงิน 27 ปี 7 เดือน จึงจะมีเงินเก็บ 1 ล้านบาท

โดยหากมีเงินไม่มาก แต่อยากลงทุนให้งอกเงย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร และไม่มีเวลาติดตามข้อมูลการลงทุนมากนัก การลงทุนในหุ้น โดยเลือกหุ้นเอง อาจจะยังยากเกินไปสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการลงทุน ยังไม่มั่นใจจะลงทุนด้วยตนเอง “กองทุนรวม” จึงเป็นทางเลือกที่ดีและน่าสนใจที่จะช่วยตอบโจทย์นี้ได้

ทำไมกองทุนรวมจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ?

1. มี “ผู้เชี่ยวชาญ” คือ ผู้จัดการกองทุน ที่เป็นมืออาชีพ มาคอยดูแลและบริหารเงินลงทุน อีกทั้งยังมีทีมงานด้านต่าง ๆ ทั้งทีมวิจัย ทีมบริหารความเสี่ยง ที่จะคอยติดตามสถานการณ์ วิเคราะห์การลงทุน เพื่อที่จะวางแผนและจัดพอร์ตลงทุน
2. ใช้เงินลงทุนไม่มากโดยเริ่มต้นได้ตั้งแต่หลักร้อยบาทขึ้นไป
3. มีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลาย สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์การลงทุนหรือเป้าหมายทางการเงินได้
4. มีสภาพคล่องที่ดี สามารถขายคืนหน่วยลงทุนและเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1-5 วันทำการ (ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละกองทุน)
5. มีการกระจายความเสี่ยง โดยการกระจายสินทรัพย์ลงทุนไปในหลากหลายบริษัท หลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อลดความผันผวนของการลงทุน
6. ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี สามารถนำเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด

การลงทุนผ่านกองทุนรวมมีกลไกอย่างไร?

1. นักลงทุนจะต้องศึกษานโยบายการลงทุนว่า มีกองทุนประเภทใดที่สามารถตอบโจทย์และช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ได้บ้าง จากนั้นจึงเลือกลงทุนในกองทุนรวมนั้น
2. เมื่อผู้จัดการกองทุนได้เงินจากนักลงทุนมาแล้ว ก็จะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนส่วนสรุป (Fund Fact Sheet)
3. ในกระบวนการบริหารจัดการการลงทุน ผู้จัดการกองทุนและทีมงาน จะทำการทบทวน วิเคราะห์ และปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน
4. ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมจะประกอบด้วยเงินปันผล (ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละกองทุน) และส่วนต่างราคา โดยกำไรที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนจะไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าได้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล สามารถเลือกเสียภาษีได้ 2 รูปแบบ คือ

• แบบที่ 1 เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%
• แบบที่ 2 นำไปคำนวณเป็นเงินรายได้ เพื่อเสียภาษีตอนสิ้นปี

ชีวิตกับการลงทุนเป็นสิ่งที่ควรอยู่คู่กัน เพราะการลงทุนเปรียบเหมือนเครื่องมือที่ช่วยนำพาเราไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น แต่หากยังไม่มีประสบการณ์การลงทุน ก็ควรเริ่มต้นลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเขียนแผนลงทุนของตัวเองให้ชัดเจน และติดตามอย่างใกล้ชิด โอกาสที่เราจะบรรลุเป้าหมายทางการเงินก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวม แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร สามารถเรียนรู้การลงทุนในกองทุนรวม แบบเจาะลึก ผ่าน e-Learning หลักสูตร “กองทุนรวม The Series” ได้ฟรี!!! คลิกที่นี่ 

หมายเหตุ: บทความนี้เรียบเรียงเนื้อหาจาก e-Learning หลักสูตร “กองทุนรวม The Series” โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน