นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนใน SET50 Index Futures ต่างให้ความสำคัญกับความผิดพลาดเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง นอกจากต้องมีหูตาที่ไวแล้ว ยังต้องมีวินัยและติดตามข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา ดังนั้น หากต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว กฎ “4R Know” คือ หัวใจสำคัญของการลงทุน ที่นักลงทุนควรรู้
1. Know Rule
เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนเข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์ เช่น ขั้นตอนการซื้อขายเป็นอย่างไร เปิดบัญชีที่ไหน ช่องทางข้อมูลข่าวสาร หุ้นที่นำมาคำนวณ เดือนที่สัญญาหมดอายุ ปัจจัยใดบ้างที่ต้องระมัดระวัง หรือปัจจัยใดบ้างที่นำมาเป็นข้อได้เปรียบในการซื้อขายได้ เป็นต้น
ตัวอย่าง กฎกติกาที่ต้องท่องให้ขึ้นใจ
- Margin ซึ่งมีอยู่ 2 ส่วน ประกอบด้วย Initial Margin (เงินวางขั้นต้น) คือ ระดับเงินประกันขั้นต้นที่นักลงทุนต้องมีในบัญชีซื้อขายอนุพันธ์ที่เปิดกับโบรกเกอร์ก่อน จึงจะส่งคำสั่งซื้อขายได้ และ Maintenance Margin (เงินวางประกันรักษาสถานภาพ) โดยนักลงทุนอาจถูกเรียกให้มาเติมเงิน (Margin Call) คือ การให้นำเงินมาวางเป็นหลักประกันเพิ่มขึ้น เพื่อให้ระดับเงินประกันในบัญชีกลับไปเท่ากับระดับเงินวางขั้นต้น
- Ceiling & Floor (ราคาสูงสุด ต่ำสุดในวันทำการซื้อขาย) นักลงทุนต้องรู้ว่า Ceiling & Floor แต่ละสินค้าในตลาดอนุพันธ์เป็นอย่างไร เช่น SET50 Index Futures จะมีราคาสูงสุดในวันทำการซื้อขายปรับขึ้นไม่เกิน 30% และราคาต่ำสุดปรับลดลงไม่เกิน 30% จากราคาเพื่อการชำระราคา (Daily Settlement Price) ของวันทำการก่อนหน้า (T-1) เช่น ถ้าราคาเพื่อการชำระราคาของวันทำการก่อนหน้าเท่ากับ 300 จุด ราคาสูงสุดที่สามารถซื้อขายได้ไม่เกิน 390 จุด และราคาต่ำสุดที่สามารถซื้อขายได้ไม่ต่ำกว่า 210 จุด ดังนั้น เมื่อนักลงทุนทราบ Ceiling & Floor ก็สามารถนำเงินเพื่อมาวางเป็นเงินขั้นต้นเพื่อที่จะซื้อขายได้
- การจำกัดฐานะ การซื้อขาย SET50 Index Futures ไม่ใช่ว่าจะทำได้ตามอำเภอใจ เพราะตามเงื่อนไขแล้ว นักลงทุนสามารถมีฐานะสุทธิรวมใน SET50 Index Futures และ SET50 Index Options เมื่อคำนวณฐานะเทียบเท่ากับฐานะใน SET50 Index Futures ในเดือนใดเดือนหนึ่ง หรือทุกเดือนรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 สัญญา
2. Know Round
นักลงทุนต้องรู้กรอบระยะเวลาในการซื้อขายแต่ละครั้ง เช่น รอบวัน รอบสัปดาห์ หรือรอบเดือน เพราะ SET50 Index Futures สามารถซื้อขายได้จบภายในวันเดียว (Day Trade) หรือซื้อขายในระยะยาว (Run Trend) ได้ เช่น ถ้านักลงทุนมีความเชี่ยวชาญ มั่นใจว่าตัวเองคาดการณ์ทิศทางตลาดได้อย่างแม่นยำและมีการซื้อขายบ่อยครั้ง ขณะเดียวกันต้องการสร้างผลตอบแทนไม่มาก หรือที่เรียกกันว่า ชอบกินคำเล็ก ก็สามารถซื้อขายให้จบได้ภายในวันเดียว ส่วนผู้ที่คาดการณ์ทิศทางตลาดไม่ค่อยแม่นยำและไม่อยากซื้อขายบ่อยครั้ง ก็ต้องซื้อขายระยะยาว อาจกินเวลาเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ซึ่งก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เรียกว่า เน้นกินคำใหญ่ หรือในรอบที่มั่นใจจริง ๆ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนก็ต้องรู้จักสไตล์การลงทุนของตัวเอง เพื่อที่จะได้วางกลยุทธ์ให้เหมาะสมและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน
3. Know Risk
โดยส่วนใหญ่แล้วก่อนลงทุน นักลงทุนจะมองหาเรื่องผลตอบแทนเป็นอันดับแรก แต่หัวใจสำคัญที่ทำให้อยู่รอดและประสบความสำเร็จในระยะยาว คือ ความเสี่ยง แปลว่า หากละเลยความเสี่ยง อาจทำให้ขาดทุนหรืออาจถึงขั้นล้างพอร์ตลงทุนก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SET50 Index Futures ซึ่งเป็นสนามการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้น จึงยิ่งต้องคำนึงถึงความเสี่ยงก่อนผลตอบแทนเป็นหลัก
และหากพูดถึงความเสี่ยงแล้ว จะมี 2 ส่วนหลัก คือ ความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเกิดจากจากปัจจัยภายนอก กับความเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ทำให้ความเสี่ยงลดลง ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายใน ดังนั้น นักลงทุนต้องบริหารความเสี่ยงที่ควบคุมได้ โดยต้องลงมือทำทันที นั่นคือ ต้องมีจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ก่อนซื้อขายเสมอ เพราะถ้าปล่อยให้ขาดทุนไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดตัดขาดทุน จะต้องสูญเสียเงินลงทุนอย่างหนัก แต่ถ้ามีจุดตัดขาดทุนก็จะลดความสูญเสียได้
อย่าลืมว่าการลงทุนหากสูญเสียเงินลงทุนไปแล้ว การจะทำให้เงินลงทุนนั้นกลับมาเท่าทุนค่อนข้างยากกว่าเดิมมาก
ตัวอย่าง เงินลงทุนเริ่มต้น 10,000 บาท
จากตัวอย่าง แสดงถึงผลของการขาดทุนเงินลงทุนตั้งต้น เช่น สมมติว่าขาดทุน 1% ต้องลงทุนและให้ได้ผลตอบแทน 1.01% พอร์ตลงทุนจึงจะกลับมาเท่าเดิมหรือกลับมาเท่าทุน แต่ถ้าลงทุนแล้วขาดทุน 50% ต้องลงทุนและให้ได้ผลตอบแทนถึง 100% พอร์ตลงทุนจึงจะกลับมาเท่าเดิม และถ้าปล่อยให้ขาดทุนถึง 90% ต้องลงทุนและให้ได้ผลตอบแทน 900% เพื่อให้เงินลงทุนกลับมาเท่าเดิม ดังนั้น จุดตัดขาดทุน จึงมีความสำคัญมากต่อความอยู่รอดของพอร์ตลงทุน
4. Know Risk & Reward Ratioกฎหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว นั่นคือ การดูอัตราส่วนเพื่อพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุน โดยเปรียบเทียบผลตอบแทนที่คาดหวังกับผลขาดทุนที่อาจจะได้รับ ซึ่งจะเปรียบระหว่างความเสี่ยง (Risk) คือ มีโอกาสที่ราคาจะปรับลดลงถึงจุดที่ต้องตัดขาดทุน กับ ผลตอบแทนหรือกำไรที่คาดว่าจะได้ (Reward) ถ้าค่าของ Reward มากกว่าค่าของ Risk แสดงว่าคุ้มค่าที่จะทำการซื้อขาย
สมมติว่าวันนี้ดัชนี SET50 Index อยู่ที่ระดับ 1,000 จุด และคาดว่าสัปดาห์หน้าจะปรับขึ้น จึงตัดสินใจเข้ามาซื้อ (Long) SET50 Index Futures โดยกำหนดกลยุทธ์ว่า ถ้าดัชนี SET50 Index ปรับขึ้น 20 จุด (1,020 จุด) จะขายทำกำไร แต่ถ้าคาดการณ์ผิด คือ ดัชนีปรับลดลง 5 จุด (995 จุด) จะทำการตัดขาดทุน
หมายความว่า มีจุดขายทำกำไรที่ดัชนีปรับขึ้นสู่ระดับ 1,020 จุด และจุดตัดขาดทุนเมื่อดัชนีปรับลดลงสู่ระดับ 995 จุด
Risk = 5 (1,000 - 995), Reward = 20 (1,020 – 1,000) แปลว่า Reward มีค่ามากกว่า Risk ถือว่าคุ้มค่าที่จะลงทุน
แต่ถ้ากำหนดจุดตัดขาดทุนเอาไว้ที่ดัชนี SET50 Index ปรับลดลงสู่ระดับ 975 จุด หมายความว่า Risk = 25 (1,000 - 975) จะทำให้มีค่า Risk มากกว่า Reward จึงไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน
สำหรับระดับความเหมาะสมของ Risk & Reward Ratio ก็ขึ้นอยู่กับนักลงทุน เพราะแต่ละคนมีระดับความเสี่ยงและความพึงพอใจในการทำกำไรที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น จึงต้องหาจุดที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง เพื่อจะทำให้การซื้อขายมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การลงทุนเปรียบเสมือนทางด่วนสู่ความมั่งคั่ง การออกตัวดี ตั้งต้นได้เร็วและเดินตามแผนที่วางไว้ ย่อมช่วยให้ถึงเส้นชัยสมใจดังหวัง สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นลงทุนใน SET50 Index Futures ตรงไหน สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “รอบรู้ลงทุน SET50 & Stock Futures” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือคนที่สนใจเรียนรู้กลยุทธ์การลงทุน Futures ในแต่ละสภาวะตลาดได้เองเบื้องต้น รวมถึงสามารถเข้าใจการใช้ Block Trade เพื่อเป็นตัวช่วยในการลงทุนใน Futures ได้ สามารถเรียนรู้ได้ใน e-Learning หลักสูตร “รอบรู้กลยุทธ์ลงทุน Futures” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน